โมร็อกโกกลายเป็นกลุ่มอาหรับและชาวมุสลิมประเทศล่าสุด ที่ตกลงสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล โดยความตกลงเกิดจากการประสานงานของรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งที่รัฐบาลวอชิงตันมอบให้โมร็อกโก เป็นการตอบแทนคือ การยอมรับการกล่างอ้างกรรมสิทธิ์ของโมร็อกโก เหนือดินแดนพิพาท ซาฮาราตะวันตก
ซาฮาราตะวันตก เป็นชนวนพิพาทระหว่างโมร็อกโก กับกลุ่มติดอาวุธ แนวร่วมโพลิซาริโอ ที่แอลจีเรียสนับสนุน โดยฝ่ายหลังพยายามจะก่อตั้งรัฐเอกราชในดินแดนแห่งนี้
โมร็อกโกกลายเป็นกลุ่มอาหรับประเทศที่ 4 ที่ตกลงผูกมิตรอย่างเป็นทางการกับรัฐชาวยิว นับตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา โดย 3 ประเทศก่อนหน้านี้ประกอบด้วย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี ตามด้วยบาห์เรน และซูดาน
ประธานาธิบดีโดนยัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศความตกลง ทางทวิตเตอร์ เมื่อวันพฤหัสบดี โดยทรัมป์เขียนข้อความว่า สหรัฐประสบความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้งในวันนี้ ประเทศมหามิตรทั้งสองของอเมริกาคือ อิสราเอลและราชอาณาจักรโมร็อกโก บรรลุข้อตกลงสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน แบบเต็มรูปแบบ ถือเป็นความคืบหน้าอย่างมหาศาล สำหรับสันติภาพในตะวันออกกลาง
ส่วนแถลงการณ์ของทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ และสมเด็จพระราชาธิบดีโมฮัมเหม็ดที่ 6 แห่งโมร็อกโก ตกลงกันว่า โมร็อกโกจะสานต่อความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล และขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม เพื่อผลักดันให้เสถียรภาพในภูมิภาคเดินหน้าต่อไป
ส่วนหนึ่งของความตกลงคือ การเปิดใหม่สำนักงานประสานงาน ในเมืองเทลอีฟและกรุงราบัต ซึ่งท้ายที่สุดจะเปลี่ยนสถานะเป็นสถานเอกอัครราชทูต และโมร็อกโกจะเปิดน่านฟ้า ให้เครื่องบินอิสราเอลบินผ่าน และบินสายตรงเชื่อมต่อระหว่าง 2 ประเทศ.