ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ซึ่งให้คำปรึกษาสำนักงานอาหารและยา หรือเอฟดีเอ (FDA) ลงมติด้วยเสียงท่วมท้น เสนอแนะให้เอฟดีเอ อนุมัติวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค สำหรับใช้ฉุกเฉิน การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังคณะกรรมการที่ปรึกษาของเอฟดีเอ ซึ่งมีสมาชิก 23 คน ประชุมกันเพื่อพิจารณาว่าประโยชน์ของวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยงหรือไม่
วัคซีนไฟเซอร์ ผ่านความเห็นชอบในการใช้ฉุกเฉินในสหราชอาณาจักร, แคนาดา, บาห์เรนและซาอุดีอาระเบียแล้ว แต่วัคซีนตัวนี้ ยังคงต้องผ่านการอนุญาตอย่างเป็นทางการโดยประธานวัคซีนของเอฟดีเอ ซึ่งคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า เอฟดีเอจะอนุมัติเห็นชอบวัคซีนไฟเซอร์เพื่อใช้ฉุกเฉินในอีกไม่กี่วันนี้ และจากนั้นก็จะเริ่มแจกจ่ายและฉีดให้กับประชาชนเกือบจะทันที
คณะกรรมการที่ปรึกษาของเอฟดีเอ (FDA) ลงมติด้วยเสียงท่วมท้น 17-4 อนุมัติวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ ที่พัฒนาร่วมกับบริษัทไบโอเอ็นเทค หุ้นส่วนสัญชาติเยอรมนี เพื่อใช้ฉุกเฉิน ปูทางให้เอฟดีเอ เตรียมสั่งให้ใช้วัคซีนตัวนี้ฉีดให้ผู้ป่วยโควิด-19 ในสหรัฐต่อไป ซึ่งขณะนี้ ไวรัสโควิดคร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วมากกว่า 285,000 ราย

การลงมติของคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ มีขึ้นหนึ่งวันหลังสหรัฐพบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทำสถิติสูงสุดมากกว่า 3,000 ราย ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในวันเดียวมากกว่าทุกประเทศในโลก
คณะกรรมการที่ปรึกษาของเอฟดีเอ ลงมติสนับสนุน หลังจากประชุมกันพิจารณาแล้วเห็นว่า ประโยชน์ของวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยงในการฉีดให้คนที่อายุ 16 ปี หรือมากกว่า แต่ก็มีสมาชิกของคณะกรรมการคนหนึ่งที่งดออกเสียง
เอริก ดิคสัน ประธานบริหารของ UMass Memorial Health Care ซึ่งไม่ได้อยู่ในคณะที่ปรึกษา กล่าวหลังมีการลงมติว่า นี้เป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ เขาเรียกวัคซีนโควิดว่า เป็นการแก้ปัญหาสถานการณ์ปัจจุบันที่ดีที่สุด และช่วยสหรัฐรักษาชีวิตประชาชนเอาไว้ได้
ส่วนไฟเซอร์ บริษัทยาชั้นนำของสหรัฐ ระบุว่า ต้องใช้วัคซีน 2 โดสในประชาชนที่อายุ 16-85 ปี สมาชิกของคณะกรรมการที่ปรึกษาอีกหลายคน ยังได้หารือว่า ผู้ที่มีอายุ 16 และ 17 ปี ควรจะถูกรวมไว้ในข้อเสนอแนะด้วยหรือไม่ เพราะความเสี่ยงต่อคนกลุ่มนี้ อยู่ในระดับต่ำ และหลักฐานในการทดลองก็มีไม่เพียงพอ ในที่สุด คณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ก็มีมติโยนคำถามนี้ ไปให้เอฟดีเอพิจารณา ซึ่งรวมทั้งประเด็นการฉีดวัคซีนโควิดให้เยาวชนอายุ 16-17 ปีด้วย
คณะกรรมการที่ปรึกษาชุดนี้ ระบุในแถลงการณ์ฉบับหนึ่งว่า การตัดสินใจครั้งสุดท้ายว่าจะอนุมัติวัคซีนเพื่อใช้ฉุกเฉินหรือไม่ จะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่วิชาชีพของเอฟดีเอ
นายอเล็กซ์ อาซาร์ รัฐมนตรีสาธารณสุขของสหรัฐ แถลงในวันพุธว่า หลังการประชุมของเอฟดีเอแล้ว พวกเราก็อาจจะมีวัคซีนใช้ภายในไม่กี่วัน และเตรียมฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงที่สุดภายในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ โครงการแจกจ่ายวัคซีนของรัฐบาลกลาง ที่ใช้ชื่อว่า “Operation Warp Speed” ระบุว่า การขนส่งวัคซีนจะเริ่มต้นขึ้นได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังการอนุมัติ โดยบริษัทไฟเซอร์ มีแผนผลิตวัคซีนสำหรับใช้ในสหรัฐ 6.4 ล้านโดส ในรอบแรกปลายเดือนธันวาคมนี้ เพราะประชาชนแต่ละคนต้องฉีดคนละ 2 โดสตามกำหนด ซึ่งวัคซีนจำนวนนี้ ก็เพียงพอสำหรับประชาชน 3 ล้านคน ยังไม่ใกล้เคียงกับประชากรทั่วประเทศสหรัฐ 330 ล้านคน
เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือซีดีซี แถลงว่า บุคลากรทางการแพทย์ 21 ล้านคนทั่วประเทศ ควรจะได้รับสิทธิ์ฉีดวัคซีนก่อน ตามด้วยชาวอเมริกันสูงอายุ 3 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชรา แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีมติเอกฉันท์ว่าแต่ละรัฐจะมีวิธีการแจกจ่ายวัคซีนให้แก่กลุ่มอื่น ๆ อย่างไร และคาดว่า แรงงานในภาคส่วนที่จำเป็นประมาณ 87 ล้านคนทั่วประเทศ จะเป็นกลุ่มต่อไปสำหรับการรับวัคซีน แต่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐต่าง ๆ ว่าจะตัดสินใจฉีดให้กับแรงงานอุตสาหกรรมใดก่อน
เจ้าหน้าที่กล่าวว่า การฉีดวัคซีนสำหรับกลุ่มที่ไม่มีความเสี่ยงสูงนั้น คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปีหน้า
ส่วนวัคซีนตัวที่ 2 ซึ่งพัฒนาโดยโมเดอร์นา บริษัทยาชั้นนำของสหรัฐอีกแห่งและสถาบันสุขภาพแห่งชาติ ก็อยู่ในขั้นตอนของการขออนุมัติการใช้ฉุกเฉินในสหรัฐเช่นกัน ซึ่งก็เหมือนกับวัคซีนของไฟเซอร์ที่ต้องฉีด 2 เข็ม