ปชช.สุดเอือม"ม็อบ"คุกคาม-จาบจ้วงอ้าง"เงินภาษี"ราษฎร

2020-11-21 16:35:48

ปชช.สุดเอือม"ม็อบ"คุกคาม-จาบจ้วงอ้าง"เงินภาษี"ราษฎร

Advertisement

ซูเปอร์โพล เผย คนไทยยังจงรักภักดี "สถาบัน" เอือมระอา "ม็อบ" คุกคาม-จาบจ้วง 


เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ภาษีของราษฎร กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,112 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 19-21 พ.ย.ที่ผ่านมา เมื่อถามถึงภาษีของราษฎร พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 93.3 ระบุว่า ม็อบราษฎร หยุดอ้างว่าจะรักษาเงินภาษีของราษฎรเพราะเห็นแล้วว่าได้ทำลายทรัพย์สินส่วนรวมจากเงินภาษีของราษฎร รองลงมาร้อยละ 92.9 ระบุว่า ม็อบราษฎรแท้จริง ต้องช่วยรักษาเงินภาษีของราษฎร ไม่ใช่ทำลายแบบนี้ ร้อยละ 92.7 ระบุว่า ม็อบประชาธิปไตยใจเผด็จการยิ่งกว่าผู้มีอำนาจตอนนี้ เพราะคุกคามผู้อื่น บังคับผู้อื่น ต้องทำตามข้อเรียกร้อง ทำลายผู้เห็นต่าง ถึงจะรุนแรงบานปลาย ไม่สนเงินภาษีประชาชนที่ต้องมาฟื้นฟูหลังการสูญเสีย และร้อยละ 92.3 ระบุว่า น่าเคลือบแคลงสงสัยว่าม็อบทำเพื่อตนเองและพวกพ้อง คนหยิบมือได้ประโยชน์ด้วยทุนต่างชาติมาทำลายเงินภาษีของราษฎร


ที่น่าพิจารณา คือ ร้อยละ 91.7 ระบุว่า ม็อบประชาธิปไตยแท้จริงต้องชุมนุมด้วยความสงบ ช่วยรักษาทรัพย์สิน สมบัติชาติ ไม่ทำลายเงินภาษีประชาชนเหมือนที่หน้ารัฐสภา ร้อยละ 91.6 ระบุว่า ถ้าเห็นแก่อนาคตของน้องๆ พี่ๆ แล้วมาทำลายทรัพย์สินส่วนรวมจากเงินภาษีของราษฎรทำไม ร้อยละ 90.6 ระบุว่า ขบวนการต่างชาติร่วมทุนในไทยหนุนม็อบ ปลุกปั่นทำลายเงินภาษีของราษฎร และส่วนใหญ่ร้อยละ 90.0 ระบุว่า เงินภาษีของราษฎรถูกม็อบทำลาย เช่น รถเมล์ รถตู้ตำรวจ รถน้ำแรงดันสูง กล้องวงจรปิดดูแลความปลอดภัยของราษฎร เป็นต้น อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.8 ระบุว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังจงรักภักดีและต้องการปกป้องรักษาสถาบันหลักของชาติ ขณะที่ร้อยละ 93.4 ระบุว่า ไม่รักก็อย่าทำลาย และร้อยละ 91.6 ระบุว่า เอือมระอากับม็อบ หยุดได้แล้ว ประเทศไทยต้องเดินหน้าต่อ จัดการคนทำผิดกฎหมายไม่ต้องละเว้น ที่น่าพิจารณา คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.4 ต้องการให้ผู้มีอำนาจออกมาออกมาทำบ้านเมืองให้สงบสุข ไม่วุ่นวายโดยเร็ว ขณะที่ร้อยละ 7.6 ระบุว่า ปล่อยไปแบบนี้ ที่น่าสนใจ คือ เมื่อถามถึงจุดยืนทางการเมืองของประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 59.6 สนับสนุนรัฐบาล ขณะที่ร้อยละ 20.4 ไม่สนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 20.0 เป็นพลังเงียบขออยู่ตรงกลาง


ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า หลังเกิดเหตุปะทะทำลายทรัพย์สินราชการจากเงินภาษีของราษฎร ส่งผลให้กลุ่มพลังเงียบและผู้ที่เคยไม่สนับสนุนรัฐบาลบางส่วน เทคะแนนมาสนับสนุนรัฐบาลมากขึ้น และผลโพลเรื่องภาษีของราษฎร ชี้ให้ประชาชนทั่วไปเห็นอย่างน้อยสามอย่าง คือ 1.แกนนำและม็อบผู้เคยประกาศตัวเรื่องปกป้องภาษีของประชาชน แต่กลับมาทำลายเงินภาษีของประชาชนด้วยวิธีที่รุนแรงแบบธรรมดาที่ใครๆ ก็ทำได้ คือ ทุบทำลายให้เสียหายและประชาชนต้องมาจ่ายเพิ่มในการซ่อมแซมฟื้นฟู แทนที่จะเอาเงินภาษีของประชาชนไปช่วยเรื่องสุขภาพและการศึกษา 2.แกนนำและม็อบเคยเรียกร้องให้หยุดคุกคามประชาชน แต่กลับทำร้ายผู้เห็นต่างจนบาดเจ็บ รวมถึงคุกคามเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน จนทำมาหากินไม่ได้ 3.แกนนำและม็อบเรียกร้องประชาธิปไตยแท้จริง แต่กลับไปบังคับข่มขู่และใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย พรรคพวกทำผิดกฎหมายได้ต้องปล่อยตัว ถ้าบ้านเมืองไม่มีกฎหมายแล้วราษฎรจะอยู่กันอย่างไร


ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวอีกว่า ถ้าไปศึกษาประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตยในโลกตะวันตกจะพบว่า ประเทศเหล่านั้นมีสงครามกลางเมือง มีจลาจล เพราะกลุ่มผลประโยชน์ขัดแย้งกันในหมู่ประชาชน พวกเขาจึงต้องมีระบบการส่งตัวแทนผ่านการเลือกตั้งเข้าสู่สภาและแก้ปัญหาความขัดแย้งกันในสภา ถ้าคิดว่าสภาฯ แก้ไม่ได้ก็ต้องยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ แต่ถ้ายุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน คนบางกลุ่มเล็งเห็นว่าจะได้ผลลัพธ์ไม่ถูกใจก็ต้องลงประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าอ้างอีกว่าลงประชามติแก้รัฐธรรมนูญเปลืองงบประมาณ ก็ควรคิดต่อว่าถ้าปมนี้แก้กันไม่ได้จนเกิดความรุนแรงบานปลายหรือเกิดการสูญเสีย จะทำให้ราษฎรทั้งประเทศเสียงบประมาณมากกว่าหรือไม่ ทั้งงบประมาณฟื้นฟูประเทศ เยียวยาการสูญเสีย และงบประมาณตามกระบวนการประชาธิปไตยใหม่