กระทรวงกลาโหมสหรัฐ แถลงยืนยันเมื่อวันอังคาร ว่า กองทัพสหรัฐจะถอนกำลังทหาร ที่ปฏิบัติการอยู่ใน 2 ประเทศคือ อิรักและอัฟกานิ สถาน ให้เหลือประเทศละ 2,500 คน โดยการถอนครั้งใหม่จะเกิดขึ้น ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะหมดวาระการดำรงตำแหน่ง ในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์กล่าวเตือนว่า เขาจะสั่งลดจำนวนทหารสหรัฐ ที่ปฏิบัติการอยู่ในอัฟกานิสถานและอิรักลงอีก ขณะที่นายเยนส์ สทอลเตนเบิร์ก เลขาธิการองค์การนาโต กล่าวเตือนว่า อาจจะเกิดความสูญเสียเกินคาดคิด หากสหรัฐและกลุ่มชาติพันธมิตร ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานเร็วเกินไป
นายสทอลเตนเบิร์ก กล่าวในแถลงการณ์ว่า อัฟกานิสถานเสี่ยงที่จะกลายเป็นฐาน สำหรับผู้ก่อการร้ายนานาชาติ ในการวางแผนโจมตีประเทศต่างๆ อีกครั้ง
นายคริส มิลเลอร์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ กล่าวว่า จะถอนทหารสหรัฐออกจากอิรักอีก 500 นาย เหลือ 2,500 นาย และถอนออกจากอัฟกานิสถานอีก 2,000 นาย เหลือประมาณ 2,500 นายเช่นกัน การลดจำนวนทหารเป็นการสะท้อนนโยบายของทรัมป์ ที่จะปิดฉากสงครามใน 2 ประเทศ อย่างประสบความสำเร็จและรับผิดชอบ และนำทหารผู้กล้าหาญกลับบ้านอย่างปลอดภัย
เพียงชั่วครู่หลังการประกาศ ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ กลุ่มคนร้ายยิงจรวดหลายลูก ตกลงในกรีน โซน หรือศูนย์บริหารราชการอิรัก ในกรุงแบกแดด ที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยหนาแน่น โดยจรวดลูกหนึ่งตกลงในอาคารสถานทูตสหรัฐ นับเป็นการโจมตีครั้งแรก ตั้งแต่กลุ่มติดอาวุธเกี่ยวโยงกับอิหร่าน ตกลงเมื่อเดือนที่แล้ว ที่จะเลิกโจมตีสถานทูตสหรัฐ
ทั้งนี้ สหรัฐส่งกำลังทหารเข้าสู่อัฟกานิสถาน เมื่อปี พ.ศ. 2544 โดยกองกำลังพันธมิตรนำโดยกองทัพสหรัฐ บุกโค่นล้มและขับไล่กลุ่มตาลีบันที่ครองอำนาจเป็นรัฐบาลอัฟกานิสถาน เพียงไม่กี่สัปดาห์ หลังเกิดเหตุการณ์ ไนน์-อีเลฟเว่น (9/11) กลุ่มก่อการร้ายอัล-กออิดะห์ ซึ่งขณะนั้นมีฐานอยู่ในอัฟกานิสถาน บุกก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ ในดินแดนสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544.