"แม่ผ่องศรี" เปิดชีวิตจากเด็กรับใช้คณะละคร สู่นักร้องลูกทุ่งระดับตำนาน

2020-11-17 17:20:55

"แม่ผ่องศรี" เปิดชีวิตจากเด็กรับใช้คณะละคร สู่นักร้องลูกทุ่งระดับตำนาน

Advertisement

เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด !! "แม่ผ่องศรี วรนุช" เปิดชีวิตจากเด็กรับใช้คณะละคร สู่นักร้องลูกทุ่งระดับตำนาน



ศิลปินแห่งชาติผู้ที่คว่ำหวอดอยู่ในวงการเพลงลูกทุ่งที่โด่งดังมาก อยู่ในเส้นทางดนตรีมา 65 ปี สำหรับ "แม่ผ่องศรี วรนุช"
ล่าสุดแม่ผ่องศรีได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ เปิดชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบบนเส้นทางนักร้อง ของราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทย จากเด็กรับใช้คณะละคร สู่นักร้องลูกทุ่งระดับตำนานว่า




"โดยมากแม่จะไม่ค่อยได้ออกมาสัมภาษณ์ แต่ตอนนี้อายุมากแล้วก็เลยออกมาอัพเดทให้แฟนๆได้เห็นหน้าบ้าง ตอนนี้อายุแม่ก็ 81 ปี กับอีก 6 เดือนแล้วค่ะ"





คุณแม่เริ่มต้นร้องเพลงตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ?
เริ่มร้องเพลงตั้งแต่อายุ 14 ปีค่ะ จริงๆ เราไม่ได้ใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักร้องลูกทุ่งเลยค่ะ แต่เพราะครอบครัวเรายากจนแม่เป็นแม่ค้า พ่อเป็นตำรวจ เลี้ยงลูก 6 คน แต่พอพ่อเข้าปลดเกษียณแล้วในสมัยนั้นไม่มีเงินให้หลังปลดเกษียณแล้ว พี่น้องแม่เรียนจบ ป.4 ทุกคน เพราะแม่ไม่มีเงิน แต่เราขอแม่อยากเรียนจบ ม.3 เพราะตอนนั้น ถ้าเรียนจบ ม.3 ก็มีงานทำแล้ว แต่แม่บอกว่าเขาไม่มีเงิน เราก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเราหางานทำส่งตัวเองเรียนเอง เราก็ขายผักบุ้งบ้าง ไอติมบ้าง ขายลูกอมบ้าง พอจบ ม.3 เราสอบเข้า ม.4 ได้แต่แม่ไม่ให้เรียนแล้ว เราก็เสียใจ เราไม่ได้อยากเป็นนักร้อง อยากจะทำงานราชการ งานอะไรก็ได้ที่ได้งานไว้เลี้ยงดูครอบครัว

แล้วทำไมเหวี่ยงคุณแม่มาเป็นนักร้องได้ยังไง ?
ตอนนั้นมีครูจากกรุงเทพฯ ไปสอนที่โรงเรียน สอนขับร้อง ซึ่งแม่ก็จะเข้าประกวดทุกครั้ง ในห้องที่ครูมาสอน เราก็ไม่รู้ว่าเราเสียงดีหรือเปล่า เพราะเราไม่รู้จักตัว ร. ตัว ก. ไม่รู้ว่าจะร้องยังไง เพราะเรามีเสียงอย่างเดียว ก็จะตะโกนร้อง ครูเขาก็บอกเราว่าร้องแบบนี้ไม่ได้นะ เขาก็สอนเราร้องเพลง นั่นก็คือ จุดเริ่มต้นทำให้เราชอบการร้องเพลง ซึ่งครูเขาก็สร้างโรงละครในโรงเรียน ซึ่งเราก็ได้ร่วมร้องเพลงด้วย ซึ่งเราก็ร้องเพลงได้ในตอนนั้น แต่ก็ยังไม่มีใครสอนว่าตัว ร. ตัว ก. มันต้องมีพยัญชนะถ้าเกิดเราบันทึกแผ่นเสียงไปแล้วมันจะไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง





แต่ก่อนที่จะได้บันทึกแผ่นเสียง ก่อนที่จะมาเป็นนักร้อง คุณแม่คือไปอยู่ในคณะละครเร่มาก่อน ?
ใช่ค่ะ พอหลังไม่ได้เรียน ม.4 แล้วมีละครวิกไปเล่นแถวบ้าน เขาเก็บเงินค่าเข้า 3 บาท ถามว่ามีเงินไหมตอนนั้นไม่มีเลยค่ะ แต่เพราะมีคนใจดีให้เงินเราเข้าไปดู

เหมือนละครเวทีไหม ?
เหมือนละครเวทีเลยค่ะ แต่จะมีคนบอกบทอยู่ข้างฉาก บอกบทกันสดๆ เลยแล้วนักแสดงก็จะพูดตาม คือ นักแสดงต้องใช้ความจำเยอะมาก แล้วคือ ในวันนั้นที่เราได้เข้าไปดูละครมันไม่มีที่นั่งเราเลยนั่งกับพื้น แล้เจ๊หมวย คนที่อยู่โรงละครเขาก็เรียกเราขึ้นไปนั่งข้างบน แม่ก็ขึ้นไปนั่งข้างฉาก แล้วก็ได้นั่งคุยกันเขาเลยชวนเรามาอยู่โรงละครด้วยกันไหม เราก็บอกเขาว่าเรายังเด็กอยู่เขาไม่รับหรอกเป็นเด็กบ้านนอก ดำก็ดำ สวยก็ไม่สวย เจ๊หมวย เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวไปพูดกับคุณหนูให้ คุณหนูเขาบอกว่าต้องไปพาพ่อแม่มาฝากนะ เราก็เลยพาแม่ไปฝากเข้าไปอยู่โรงละคร เพราะเราคิดว่าถ้าเราได้ทำงาน หรือ อยู่ที่โรงละคร เวลาที่พี่ๆ น้องๆ เขาออกเรือนกันไปหมดแล้วเรายังทำงานเลี้ยงแม่ได้



ที่ไปทำโรงละครคืออยากได้เงิน หรือ อยากเล่นละคร ?
อยากได้เงิน เข้าไปตอนแรกคือ เราเข้าไปในฐานะรับซื้อของให้กับคนในโรงละคร อย่าง เขาอยากได้น้ำ อยากกินอะไรเราก็ไปซื้อให้ แล้วก็นั่งชักฉาก เปลี่ยนฉาก ได้วันละ 3 บาท



อะไรที่นำมาสู่การร้องเพลงได้ยังไง ?
พอคุณหนูเขาถามว่ามาอยู่ที่นี่ได้อะไรบ้างได้วิชาอะไรบ้าง แม่ก็บอกว่าคุณหนูจะให้ทำอะไรเราทำได้ทุกอย่างเพราะแม่จะนั่งอยู่ข้างฉากตลอดเวลา ก็ใช้เป็นครูพักรักจำ เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างนั้น เต้นระบำได้ไหมมีผู้หญิง 6 คน เล่นละครเรื่อง สโนว์ไวท์ เต้นระบำแขกแม่ก็ได้เต้นระบำตรงนั้นและประสบความสำเร็จ ก็เลยได้ไต่เต้าตรงนั้นขึ้นมา แต่ยังไม่ได้เป็นนางเอกละครนะคะ เป็นตัวแม่ก่อน



ตอนไหนที่กว่าจะได้ขึ้นมาเป็นนางเอก ?
อยู่ตรงนั้นเกือบจะสองปี แล้วคุณหนู ถามว่าทำอะไรได้อีก ร้องเพลงเป็นไหม แม่ก็บอกว่าเป็นค่ะ แต่พอแม่ร้องคือ แม่ไม่รู้ว่าจะออกเสียงควบกล้ำยังไง ครูรบก็เลยมาสอนให้ 4 คำ กลับ เกลียด โกรธ รัก ครูให้ไปท่องมาให้ได้ก่อน พอคล่องแล้ว ค่อยเอาเพลงมาสอนต่อ

หลังจากนั้นก็ลาออกแล้วเดินทางเข้าสู่เมืองมาพร้อมกับครูเพลงหาคนปั้น เพราะตอนนั้นตั้งใจว่าจะเป็นนักร้องแล้ว ?
ใช่ค่ะ แต่เราก็คิดนะคะว่าจะมีใครปั้นเราไหมเราดำ เพราะแม่ออกจากโรงละครมาก็ยังเด็กอยู่เลยตอนนั้นอายุแค่ 14 ไม่เกิน 16 แต่สุดท้ายที่เราเข้ามาหาคนเพลงให้เราก็ไม่มีค่ะ เพราะว่าครูรบ เขาพาเราไปห้างโน่น นี่ เขาก็บอกว่าไปเอาเด็กที่ไหนมาสวยก็ไม่สวย ปั้นลำบาก



มาดังเป็นพลุแตกได้ยังไง มาร้องคู่ครูสุรพล สมบัติเจริญ ได้ยังไง ?
ตอนนั้นแม่เก็บเงินที่ทำงานอยู่ในโรงละครได้ 20,000 บาท ที่สมัยนั้นเราเริ่มจากที่เราได้วันละ 3 บาท แล้วพอแม่มาร้องหน้าม่านแม่จะได้รางวัลด้วย แม่เก็บเงิน 2 บาท ใช้ 1 บาท พอมาเป็นนางรำเราก็ได้ 300 เรื่อยไป 500 ก็เกือบมาเรื่อยๆจนได้ 20,000 เราเลยเข้ามาในกรุงเทพฯ เพราะอยู่ตรงนั้นไม่มีใครอัดเสียงได้ เราเลยบอก ครูลพ ว่าไปซื้อเพลงได้ไหมเลยได้ ไปเพลงของพี่สุรพล มาในราคา 300 บาท แม่เลยได้อัดเพลงนั้น ช่วงจังหวะที่แม่ได้บันทึกเพลงนั้นมันมีจังหวะ ชะ ชะ ช่า แม่ก็ได้ร้องเพลงมันเลยดัง แต่คนไม่รู้จักตัวเรา ชื่อเพลงที่เราร้องตอนนั้นคือ หัวใจไม่มีใครครอง

ไปเจอกับครูสุรพลได้ยังไง ?
หลังจากที่อัดเสียงแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเขาจัดงานให้กับคุณแม่เขา เขาก็เชิญ ลูกทุ่ง ลูกกรุง ไปกันหมดเลย พวกพี่เขาก็ขึ้นร้องกันพอถึงคิวเราก็ขึ้นไปร้อง แล้วพอเราลงจากเวทีมาเราก็ยกมือไหว้ (ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้จักเลยว่าเป็นพี่สุเทพ พี่สุรพล) แต่เขาคงถูกซะตาเรา ครูสุรพล เขาก็ถามว่าครูรบไปเอาเด็กคนนี้มาจากไหน เรียบร้อย นิสัยดี เสียงดี เดี๋ยวถ้าหากว่ามีเพลงมีอะไรจะติดต่อมานะ (เมื่อก่อน โทรศัพท์ก็ไม่มีต้องมาหากันที่บ้าน) บางทีครูเขามาหานั่งรถมามีเนื้อเพลง แต่ยังไม่ได้อัดเสียงนะคะ ต่อเพลงกันให้จำเนื้อเพลงให้ได้ก่อน ถ้าเราจำได้เมื่อไหร่ ก็จะกลับมาหาอีกครั้งแล้วจะได้จองห้องอัดเสียงไปอัดเสียงกันอีกครั้ง



การที่ได้ร่วมงานกันคือการร้องเพลงแก้กับคุณสุรพล สมบัติเจริญ ถือเป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพของแม่เลยใช่ไหม ?
เปลี่ยนเลยค่ะ เพลงที่แม่ร้องแก้ คือ เพลง ลืมไม่ลง, ไหนว่าไม่ลืม

แต่ความภาคภูมิใจสูงสุดอีกหนึ่งครั้ง ที่เกิดขึ้นในชีวิตของแม่คือ การได้รับพระราชทานเป็นศิลปินแห่งชาติ ?
แม่ได้รับพระราชทานปี 2535 ค่ะ ตอนนั้นไม่รู้ตัวเลยแม่ยังไม่รู้เลยว่าศิลปินแห่งชาติคืออะไร ตอนนั้น แม่ถูกรับเชิญไปร้องเพลงที่ระยอง แล้วภรรยาของกำนัน หรือ ผู้ใหญ่บ้าน เขาดูทีวีแล้วเขาเห็นว่าเราได้รับพระราชทาน ก็ปั่นจักรยานมาบอกว่าแม่เขาได้ศิลปินแห่งชาติ ตอนนั้นเรายังไม่รู้สึกอะไรเพราะเราไม่รู้ว่าคือ รางวัลอะไร แต่พอกลับมาบ้านเราเห็นหนังสือพิมพ์เห็นข่าวเราลงอยู่ แทบจะเป็นลมเลยไม่คิดว่าเราจะได้ตรงนั้นขึ้นมา ซึ่งกว่าที่เราจะมายืนอยู่จุดนี้ได้เราต้องขอบคุณคุณแม่ของเรามากๆ ในวันที่เราบันทึกเสียงพอแม่ของเราทราบท่านก็ดีใจ แล้วเราก็บอกแม่ไว้ว่า แม่จำไว้นะถ้าหนูเข้ากรุงเทพฯ แม่ให้ทองมาสลึงหนึ่ง ถ้าลำบากกลับมานะแม่เลี้ยงได้ เราบอกว่าแม่จำไว้นะถ้าหนูเข้ากรุงเทพฯถ้าหนูไม่มีบ้าน ไม่มีที่ดิน จะไม่ย้อนกลับมา จะไปตายเอาดาบหน้า แต่ถ้าวันใดที่หนูมีบ้านมีที่ดิน หนูจะรับพ่อแม่มาเลี้ยงให้หมดทุกคน และแม่ก็ทำได้พาครอบครัวมาอยู่กรุงเทพฯได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่