“ไพบูลย์” อยากให้รัฐสภาโหวตรับร่าง รธน.วาระ 1 ก่อนส่งศาล รธน.

2020-11-10 11:59:42

“ไพบูลย์” อยากให้รัฐสภาโหวตรับร่าง รธน.วาระ 1 ก่อนส่งศาล รธน.

Advertisement

“ไพบูลย์” อยากให้รัฐสภาโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญวาระหนึ่งก่อน  หลังจากนั้นค่อยส่งศาล รธน.วินิจฉัย เพื่อเคลียร์ข้อกฎหมายในภายหลัง ด้าน “ส.ว.สมชาย”ปัดซื้อเวลา 

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่รัฐสภา นายสมชาย แสวงการ ส.ว. และนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงกรณีการเสนอญัตติเพื่อให้รัฐสภาส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 3 ฉบับ ที่ให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

นายไพบูลย์ กล่าวว่า การเสนอญัตติดังกล่าวมาจากการที่ถูกทักท้วงว่ารัฐสภาไม่มีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งตนเองได้ร่วมลงชื่อในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของวิปรัฐบาล ตอนนั้นยังไม่เห็นปัญหาแต่เมื่อตอนนี้มีปัญหาแล้วก็ควรทำให้เกิดความชัดเจนก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสิ้นสุดทั้งกระบวนการ เมื่อรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ได้กำหนดให้รัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อทำรัฐธรรมนูญใหม่ จึงเป็นปัญหาว่ากระทำได้หรือไม่ ช่องทางการส่งศาลรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภาตามมาตราา 210 (2) เป็นการเปิดให้รัฐสภามีส่วนร่วม อยากให้มีการพิจารณารับหลักการร่างรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 ไปก่อน แล้วค่อยให้รัฐสภาพิจารณาในเรื่องการส่งศาลรัฐธรรมนูญ  เราอยากให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นโดยไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น หากเริ่มต้นด้วยความชัดเจนแล้วจะทำให้ทุกอย่างราบรื่น ไม่ได้มีเจตนาจะถ่วงแต่อย่างใด หากถึงที่สุดแล้วรัฐสภามีมติเสียงข้างมากเห็นด้วยก็จะเป็นการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญต่อไป

ด้าน นายสมชาย กล่าวว่า ส.ว.มีหน้าที่ในการกลั่นกรองกฎหมาย ร่างรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้มีการตั้งส.ส.ร.นั้นไม่ค่อยสบายใจในข้อกฎหมาย เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้เขียนรัฐธรรมนูญทั้งฉบับใหม่ได้เหมือนกับรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ยืนยันว่าไม่มีความมุ่งหมายในการยื้อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการเสนอให้รัฐสภาพิจารณาเรื่องนี้ภายหลังได้ผ่านขั้นตอนการรับหลักการในวาระที่ 1 ไปก่อน โดยเมื่อวันที่ 17-18 พ.ย.นี้ รัฐสภารับหลักการแล้ว จึงมาพิจารณาว่าจะส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ต่อไปตามขั้นตอน

เมื่อถามว่า การเสนอเช่นนี้จะทำให้รัฐสภาไม่ลงมติในวาระที 1 หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ยืนยันว่าในวันที่ 17-18 พ.ย.นี้ ส่วนตัวจะออกเสียงให้เห็นด้วยกับรัฐสภาในการรับหลักการในวาระที่ 1 เป็นการแยกระหว่างการทำหน้าที่ระหว่างสมาชิกรัฐสภาที่ต้องการให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กับในฐานะนักกฎหมายที่เห็นว่าเมื่อมีปัญหาข้อกฎหมายก็ควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะตั้งธงใดๆทั้งสิ้น และส่วนตัวเชื่อว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านจะผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา หากไม่มีการยื่นญัตตินี้ไว้ก่อนเชื่อว่าจะมีส.ว.หลายคนไม่สบายใจและงดออกเสียงในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมีการยื่นญัตติดังกล่วแล้วย่อมทำให้ส.ว.สบายและพร้อมจะเห็นด้วยและจะลงมติรับหลักการในวาระที่ 1

เมื่อถามว่า การเสนอญัตติดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มความขัดแย้งอีกหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ไม่ได้เติมเชื้อไฟในความขัดแย้ง แต่เป็นการทำให้ถูกต้อง เพราะหากรัฐสภาทำไม่รอบคอบและศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระทำโดยมิชอบ ยิ่งจะทำให้เกิดความเสียหาย 

ต่อข้อถามว่า ในเมื่อรัฐธรรมนูญมาตรา 256 (9) กำหนดไว้อยู่แล้วว่าสามารถเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ภายหลังรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นทั้ง 3 วาระ แต่กลับมาเสนอญัตติให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนทั้งที่รัฐสภายังไม่ได้มีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายไพบูลย์ กล่าวว่า การส่งเรื่องไปยังศาลมีหลายช่องทาง และการใช้มาตรา 210 (2) เป็นเพียงช่องทางหนึ่งเท่านั้น เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้จะต้องมีการส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เป็นการเสนอตั้งแต่ต้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและทำให้ถูกต้องและช่วยให้การดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้โดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม หากที่สุดแล้วรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นทั้งสามวาระ ส่วนตัวก็จะไม่ใช้สิทธิตาม มาตรา 256 (9) เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาอีก