อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐ ขณะที่ นางคามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับไบเดน จะเป็นรองประธานาธิบดีผิวดำและชาวเอเชียใต้คนแรก และจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่นั่งในตำแหน่งนี้ด้วย
ไบเดน ได้รับคะเเนนจากคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 270 เสียง ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่สามารถอ้างชัยชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกันรอคอยผลการเลือกตั้งมาตั้งแต่คืนวันอังคารที่ 3 พ.ย. ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง ที่ยังไม่สามารถสรุปผลได้เมื่อผ่านเที่ยงคืน เนื่องจากไบเดน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคะเเนนสูสีคู่คี่ในหลายรัฐ และไม่มีใครได้คะเเนนคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) ถึงระดับ 270 เสียง หรือเกินกึ่งหนึ่งของ electoral vote ทั้งหมด 538 คะเเนน
แต่ในช่วงเช้าวันเสาร์ตามเวลาในสหรัฐฯ มีการคาดการณ์ว่า ไบเดนสามารถคว้าคะแนนคณะผู้เลือกตั้งได้อย่างน้อย 270 คะแนน หลังจากที่มีการประกาศผลคะแนนล่าสุดจากรัฐเพนซิลเวเนียออกมา ซึ่งมีจำนวนผู้แทนเลือกตั้งที่รัฐนี้ 20 คน ปรากฏว่าไบเดนคว้าชัยชนะ และเขายังได้รับชัยชนะที่รัฐเนวาดาที่มีจำนวนผู้แทนการเลือกตั้ง 6 คนด้วย ทำให้นายไบเดนมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 279 คะแนนจนถึงขณะนี้ และถือว่าชนะการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ต้องการเป็นผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่สอง เดินเรื่องทางกฎหมายเพื่อทำการฟ้องร้องในรัฐมิชิแกน เพนซิลเวเนีย และจอร์เจีย เพื่อปูทางสู่การนำเรื่องการนับคะเเนนสู่พิจารณาในชั้นศาล ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี ทีมหาเสียงของทรัมป์ ระบุว่า ทรัมป์ไม่มีแผนที่จะยอมรับผลการเลือกตั้ง
แต่ไบเดน กล่าวว่า ขณะนี้ ได้เวลา “สมานฉันท์และเยียวยา” แล้วสำหรับอเมริกา “เมื่อการรณรงค์หาเสียงสิ้นสุดลง ก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องทิ้งความโกรธแค้นและวาทกรรมที่รุนแรงสร้างความเกลียดชังไว้เบื้องหลัง และหันมารวมกันเป็นชาติ เราเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” เขากล่าวด้วยว่า ประชาธิปไตยเต้นระรัวอยู่ในหัวใจของอเมริกา
ดังนั้น การรู้ผลแพ้ชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังมีความไม่เเน่นอนอยู่ในระดับหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าการเดินเรื่องทางกฎหมายของฝ่ายทรัมป์ว่าจะไปต่อได้ไกลขนาดไหน แต่หากพิจารณาถึงเฉพาะคะเเนนมหาชน หรือ popular vote ซึ่งไม่ใช่ตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้ง ระดับคะเเนนที่โจ ไบเดน ได้รับมากกว่า 74 ล้านเสียง ถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์เลือกตั้งอเมริกัน
อดีตรองประธานาธิบดี ไบเดน สามารถกวาดคะเเนน electoral vote เกิน 270 เสียง ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มีการขับเคี่ยวสูงอย่างยิ่ง ท่ามกลางความแตกแยกทางสังคม และภาวะวิกฤตการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปกว่า 232,000 คน
ผลคะเเนนครั้งนี้ที่ต้องลุ้นมากกว่าที่หลายคนคาดคิด เกิดขึ้นหลังจากผลสำรวจของหลายสำนักก่อนหน้าวันเลือกตั้งที่ชี้ว่าไบเดนมีคะแนนนำ ประธานาธิบดีทรัมป์ มาโดยตลอด
ทั้งนี้ ในช่วงแรกของการนับคะแนนหลังปิดหีบเลือกตั้งของรัฐทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ทรัมป์ เป็นผู้มีชัยในรัฐที่เป็นฐานเสียงหลักของพรรครีพับลิกัน เช่น รัฐอินเดียนา และรัฐเคนตักกี้ ก่อนที่ อดีตรองประธานาธิบดีไบเดน จะตีตื้นด้วยชัยชนะในพื้นที่รัฐเวอร์มอนต์ รัฐแมสซาชูเสตส์ และรัฐแมรี่แลนด์ และกลายมาเป็นผู้ชนะในอีกหลายรัฐ จนทำให้ภาพรวมชี้ว่า เป็นผู้ที่สามารถได้คะแนนตัวแทน Electoral College ที่คิดตามจำนวนประชากรในแต่ละรัฐ เกิน 270 คน จากจำนวนตัวแทนทั้งหมด 538
ผลเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีที่อยู่ในตำแหน่งวาระเดียวคนแรกตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990
นายไบเดน มีประวัติการทำงานในด้านการเมืองมากว่า 47 ปี เขาทำหน้าที่รองประธานาธิบดีสมัยที่นายบารัค โอบามา เป็นผู้นำสหรัฐฯ ทั้งสองสมัยระหว่างปี พ.ศ.2552 ถึง 2560