"ซูเปอร์โพล"ชู"ยุทธศาสตร์ที่ 2"ช่วยแก้วิกฤตม็อบ

2020-11-04 10:35:23

"ซูเปอร์โพล"ชู"ยุทธศาสตร์ที่ 2"ช่วยแก้วิกฤตม็อบ

Advertisement

"ซูเปอร์โพล" แนะใช้ "ยุทธศาสตร์ที่ 2" แก้วิกฤต "มือมืด" ชักใยม็อบชุมนุมโค่นล้มผู้นำประเทศ

เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ซูเปอร์โพล เปิดเผยผลการวิเคราะห์ข้อมูลและเฝ้าติดตามการก่อตัวของขบวนการที่อยู่เบื้องหลังหนุนม็อบ 3 นิ้ว ด้วยเครื่องมือการประเมินขั้นสุทธิ (Net Assessment) ซึ่งพบว่า ขบวนการที่อยู่เบื้องหลังม็อบ 3 นิ้ว ได้แก่ นักการเมือง, นักธุรกิจนายทุน, นักวิชาการ, นักเคลื่อนไหวองค์กรต่างชาติ, กลุ่มโซเชียลมีเดียต่างชาติ, กลุ่ม NGO และรัฐบาลต่างชาติที่ไม่ใช่มหามิตรของประเทศไทย โดยแกนนำม็อบมีทัศนคติและการปฏิบัติการไปในทิศทางเดียวกัน คือ การโค่น (Overturn) หรือสั่นคลอนโครงสร้างอำนาจของประเทศไทยด้วยการปฏิรูปแบบปฏิวัติ (Revolutionary Reform) ตามกระแสมาร์กซิสต์ที่โค่นอำนาจเชิงโครงสร้างด้วยชนชั้นกรรมกร โดยขบวนการเบื้องหลังหนุนม็อบ 3 นิ้วเหล่านี้เห็นพ้องต้องกันให้ใช้ “ข้อความการเมือง” เป็นอาวุธทำลายล้างด้วยภาษา (Weaponization of Language) ตัดทอนพลังความจงรักภักดี สร้างความเกลียดชังรัฐบาล กองทัพ และเป้าหมายสูงสุด คือ การทำลายล้างบุคคลสำคัญในสถาบันทางออก คือ การรู้เท่าทันขบวนการและนำความจริงออกมาบอกคนทั้งประเทศ เพื่อให้ “คนไทย” ทุกคนเกิดภูมิคุ้มกันสำนึกรู้คุณแผ่นดินและปกป้องสถาบันหลักของชาติให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และการสนับสนุนยุทธศาสตร์ที่ 2 ของประเทศมหาอำนาจที่เป็นมหามิตรของประเทศไทย

ผอ.ซูเปอร์โพล ระบุอีกว่า ขบวนการเบื้องหลังหนุนม็อบ 3 นิ้ว กำลังปฏิบัติการบนพื้นฐานความคิดและปฏิบัติการที่มุ่งสู่การคว่ำ (Upend) หรือล้มกระดานโครงสร้างอำนาจของประเทศไทย สอดคล้องกับแนวทางของพวกมาร์กซิสต์ แบบดั้งเดิมที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมแบบปฏิวัติโดยทัพหน้าของชนชั้นกรรมกร แต่ขบวนการเบื้องหลังหนุนม็อบ 3 นิ้วเหล่านี้ถูกครอบงำด้วยแนวคิดและการปฏิบัติการร่วมสมัยจากอุดมการณ์เชิงอำนาจบางส่วน (Some aspects) ของฐานอำนาจล่าอาณานิคมชาติตะวันตก ดังจะเห็นได้ว่าอิทธิพลของมาร์กซิสต์ แผ่กระจายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกและนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงบานปลาย ทำคนในชาติต่างๆ แตกแยก เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีปฏิบัติการระหว่างประเทศภายใต้การบริหาร “ดุลอำนาจของโลก” (Balance of Global Power) โดยประธานาธิบดีประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งที่สามารถสร้างภาพเบื้องหน้าเป็นที่นิยมไปทั่วโลกแต่เบื้องหลังคณะบริหารอำนาจของประธานาธิบดีท่านนั้นกลับใช้ภาษาเป็นอาวุธ (Weaponization of Political Words) ผ่านทางโซเชียลมีเดีย ยิงขีปนาวุธภาษาและภาพ ในระบบออนไลน์เข้าถึงมือถือของประชาชนและเด็กเยาวชนแต่ละคนในกลุ่มประเทศเป้าหมาย เช่น ตูนิเซีย กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เป็นต้น




ผศ.ดร.นพดล ระบุเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังมีการส่งกองกำลังเข้าไปปฏิบัติการทางทหารในประเทศอื่นๆ เช่น ยูเครน และกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก จนประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย คือ ทำคนในชาติเหล่านั้นแตกแยก ทำคนในชาตินั้นอ่อนแอ ผู้นำเป้าหมายถูกโค่นล้ม ถูกสังหาร ผลที่ตามมา คือ กลุ่มประเทศเหล่านั้นเจอวิกฤตที่แย่หนักลงกว่าเดิม โดยยังไม่ปรากฏว่ากลุ่มประเทศที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการปลุกปั่นม็อบ พาคนลงถนนเหล่านั้นจะเจริญมั่นคงแข็งแกร่ง ตรงกันข้ามมีแต่วิกฤตตกต่ำลง และถูกชบวนการต่างชาติเข้ากอบโกยผลประโยชน์ทางทรัพยากรและอื่นๆ จากประเทศเหล่านั้น โดยมีตัวอย่างล่าสุด คือ เกาะฮ่องกง แม้คณะบริหารของประธานาธิบดีล่าสุดจะแตกต่างไปจากคนก่อนเพราะยังต้องการใช้ยุทธศาสตร์ที่ 2 ไม่ใช่แบบเดิมที่เคยทำ แต่เมื่อเกิดการปฏิบัติการจริงกลับกลายเป็นว่าอยู่นอกเหนือการควบคุม (Out of Control) สถานการณ์ในเกาะฮ่องกง จึงเป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ความเป็นหนึ่งเดียวของคนในเกาะฮ่องกง จะกลับคืนมาเหมือนเดิมที่ช่วยกันสร้างเกาะฮ่องกงมาได้หรือไม่

ผศ.ดร.นพดล ยังกล่าวถึงการทำประเมินขั้นสุทธิ (Net Assessment) ของประเทศไทย ซึ่งพบว่า ภาพของขบวนการเบื้องหลังหนุนม็อบ 3 นิ้วเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ใช้ภาษาและภาพเป็นอาวุธ (Weaponization of Language and Picture) เช่น #เยาวชนปลดแอก #ประชาชนปลดแอก #จะสู้หรืออยู่อย่างทาส เป็นต้น และพาคนลงถนนทำคนในชาติแตกแยก ช่วงชิงกลุ่มพลังเงียบด้วยการล้างสมอง หล่อรูปทัศนคติของเด็กและเยาวชนให้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับโครงสร้างอำนาจเดิม ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการตามศาลหลักเมือง หรือจุดประวัติศาสตร์ เพื่อทำให้ประเทศไทยไปสู่การแบ่งแยกดินแดนและประชาชนซึ่งอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ประชาชน และต่อสถาบันหลักอย่างร้ายแรง ด้วยการสนับสนุนขององค์กรต่างชาติที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของประเทศมหาอำนาจมหามิตรของประเทศไทยจริงหรือไม่



ผอ.ซูเปอร์โพล ระบุอีกว่า ไม่ใช่ว่าขั้วอำนาจภายในประเทศมหาอำนาจชาติตะวันตกเหล่านั้นจะเห็นด้วยกับแนวทางข้างต้นทั้งหมด เพราะอีกขั้วหนึ่งของประเทศมหาอำนาจไม่ต้องการให้ขบวนการเบื้องหลังหนุนม็อบ 3 นิ้วทำแบบมาร์กซิสต์นิยม และไม่เห็นด้วยกับการใช้ภาษาและภาพเป็นอาวุธผ่านโซเชียลมีเดียไปสู่การปฏิรูปแบบปฏิวัติ (Revolutionary Reform) โดยขั้วอำนาจภายในประเทศอำนาจชาติตะวันตกขั้วนี้ต้องการให้ใช้ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือ การเปลี่ยนแปลงประเทศต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายใน (Within Peaceful Strategy) ด้วยสันติวิธี ไม่ใช่มุ่งแต่จะพาคนลงถนน ทำคนในชาติแตกแยก โดยขั้วอำนาจนี้ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแต่ละประเทศแต่ต้องไม่ตัดทอน (Cut Down) พลังประเทศนั้นๆ และไม่ตัดทอนพลังประเทศมหาอำนาจชาติตะวันตกนั้นด้วย ดังนั้นความหวังยังพอจะมีอยู่ถ้าประเทศมหาอำนาจที่เป็นมหามิตรกับประเทศไทยมาช้านานเลือกใช้ยุทธศาสตร์ที่ 2 โดยฝ่ายผู้มีอำนาจของประเทศไทย ต้องเจรจากับประเทศมหาอำนาจที่เป็นประเทศมหามิตรประเทศ เพื่อนำไปสู่การรักษาความเป็นมหามิตรให้ยั่งยืนสืบไป

ผศ.ดร.นพดล ระบุทิ้งท้ายว่า ขอให้คนไทยทุกคนรู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการเบื้องหลังหนุนม็อบ 3 นิ้ว ซึ่งซูเปอร์โพล ได้ทำการประเมินขั้นสุทธิ (Net Assessment) โดยค้นหาความจริงจนพบว่ามีการถูกปั่นยอดกระแสผ่านโซเชียลมีเดีย แต่การลงมือทำหรือปฏิบัติการเป็นเรื่องของคนไทยทุกคนทั้งผู้ที่ถือครองอำนาจรัฐ (State Power) และอำนาจที่ไม่ใช่อำนาจรัฐ (Non-State Power) ที่รวมเป็นอำนาจแห่งชาติ (National Power) ว่าเดินตามเกมยุทธศาสตร์ที่ 1 ของขบวนการเบื้องหลังหนุนม็อบ 3 นิ้ว หรือจะเปลี่ยนเกมมาทำตามยุทธศาสตร์ที่ 2 แต่ขอให้การตัดสินใจของทุกแหล่งอำนาจอยู่บนพื้นฐานของหลักการ รู้ รัก สามัคคี เพื่อปกป้องผลประโยชน์ชาติและประชาชนคนไทยทุกคนเอาไว้ให้ลูกหลานในอนาคต