ประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงทั่วสหรัฐฯ เริ่มพากันไปยังคูหาเลือกตั้งเพื่อลงคะแนนเสียงเลือกผู้นำคนใหม่ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ 59 ของประเทศ ซึ่งได้เริ่มขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้
รัฐเวอร์มอนต์ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเป็นแห่งแรกที่เปิดคูหาให้ประชาชนเข้าใช้สิทธิ์ออกเสียง เมื่อเวลา 5.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเวลา 17.00 น. ของวันอังคารที่ 3 พ.ย. ตามเวลาในประเทศไทย และคาดว่าจะปิดหีบเลือกตั้งในหลายรัฐทางตะวันตกในเวลาราว 19.00 น. - 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งจะตรงกับช่วงเช้าของวันพุธที่ 4 พ.ย. ตามเวลาในประเทศไทย
ก่อนหน้านี้พลเมืองอเมริกันเกือบ 100 ล้านคน ได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าและเลือกตั้งทางไปรษณีย์แล้ว ทำให้สถิติของผู้ออกเสียงเลือกผู้นำสหรัฐฯ ในครั้งนี้ อาจมีเป็นจำนวนสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งศตวรรษ แต่การที่มีผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งในแบบดังกล่าวอย่างล้นหลาม อาจทำให้การนับคะแนนเป็นไปอย่างล่าช้ากว่าปกติ จนมีแนวโน้มว่าหลายรัฐจะไม่สามารถประกาศผลภายในคืนเลือกตั้งได้อย่างที่ผ่านมา
ผลสำรวจความคิดเห็นของโพลหลายสำนักชี้ว่า นายโจ ไบเดน ตัวแทนพรรคเดโมแครต มีคะแนนนิยมนำหน้านายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันและประธานาธิบดีคนปัจจุบันอยู่เล็กน้อย โดย CNBC และ Change Research Poll ระบุว่า ทั้งสองยังมีคะแนนสูสีกันใน 6 รัฐที่ต้องขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด ซึ่งได้แก่รัฐแอริโซนา, ฟลอริดา, มิชิแกน, เพนซิลเวเนีย, นอร์ทแคโรไลนา และวิสคอนซิน เนื่องจากเป็นรัฐที่มีจำนวนของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral college) สูง ซึ่งอาจตัดสินชี้ชะตาได้ว่าใครจะได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ คนต่อไป
สำหรับกรณีที่นายทรัมป์ได้ประกาศว่าจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่เขาต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โดยแสดงความสงสัยต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทางไปรษณีย์และวิธีการพิเศษอื่น ๆ ว่าอาจมีการโกงเกิดขึ้น ทำให้หลายฝ่ายเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายหลังการนับคะแนน รวมทั้งการถ่ายโอนอำนาจไปยังประธานาธิบดีคนใหม่หากนายไบเดนเป็นฝ่ายชนะนั้น
ในวันนี้ (3 พ.ย.) อดีตรัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ สองคน คือนายอีริก โฮลเดอร์ และนายไมเคิล มูคาซีย์ ได้ออกมากล่าวเตือนผ่านบทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ว่า
"แม้ทุกคนจะมีสิทธิแสดงความคิดเห็นได้ตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่เป็นการรับรองว่า พวกเขามีสิทธิจะกระทำตามความเห็นของตนได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นที่มองว่า หากกระบวนการทางการเมืองไม่ได้ผลออกมาอย่างใจตนเอง พลเมืองที่เป็นเพื่อนร่วมชาติก็จะไม่ได้มีชีวิตที่สงบสุขกันอีกต่อไป ผู้นำทางการเมืองของเราไม่ควรจะมีท่าทีสนับสนุนความรุนแรงเช่นนั้น"
ขอบคุณข้อมูล บีบีซีไทย