การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งถูกจับตามองมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน เริ่มขึ้นแล้วในวันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน ตามเวลาในสหรัฐฯ
ประชาชนอเมริกันหลายสิบล้านคนเดินทางไปยังคูหาเลือกตั้งในรัฐต่าง ๆ ทั่วประเทศเพื่อใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วง 4 ปีจากนี้ ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน กับอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต
ผู้ชนะการเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่ได้คะเเนนดิบของประชากรโดยรวมเหนือคู่แข่ง
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ผู้ชนะต้องได้คะเเนนจากตัวเเทนคณะผู้เลือกตั้งหรือ Electoral College มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
ในการเก็บคะเเนนจากคณะผู้เลือกตั้งในแต่ละรัฐ ผู้สมัครต้องได้คะเเนนจากประชาชนในรัฐนั้นๆ มากกว่าคู่แข่ง ซึ่งแต่จะรัฐมีการจัดสรรจำนวนตัวแทน Electoral College ต่างกัน ตามจำนวนประชากร
ตัวแทน Electoral College ของรัฐ แม้จะมีหลายคน แต่จะลงคะเเนนสนับสนุนไปในทางเดียวกันทั้งหมด ให้กับผู้ที่ได้คะเเนนโหวตสูงสุดจากประชากรของรัฐ อย่างไรก็ตาม มีสองรัฐที่ตัวแทน Electoral College ไม่จำเป็นต้องโหวตไปในทางเดียวกันคือในรัฐเมนและเนบราสกา
เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดี 4 ปีก่อน ทรัมป์ได้คะเเนนจาก Electoral College มากกว่าฮิลลารี คลินตัน แม้ว่าเธอได้คะเเนนรวมจากประชากรทั่วประเทศมากกว่าทรัมป์
ตามกำหนด คณะผู้เลือกตั้งหรือ Electoral College จะประชุมกันวันที่ 14 ธันวาคม เพื่อลงคะเเนนอย่างเป็นทางการว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป ผู้ชนะการเลือกตั้งต้องได้คะเเนนจากผู้แทน Electoral College จำนวน อย่างน้อย 270 คนจาก Electoral College ที่มีตัวแทนทั้งหมด 538
การนับคะเเนนอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นต่อหน้าที่ประชุมสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา วันที่ 6 มกราคม
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แม้อาจจะมีหลายรัฐที่ใช้เวลานับคะเเนนต่ออีกหลายวัน หลังการเลือกตั้ง แต่ก็จะมีหลายรัฐที่ทราบผลเกือบสมบูรณ์ในคืนวันที่ 3 พฤศจิกายน หรือเช้าวันถัดไปเช่นกัน
ทั้งนี้มีวันสำคัญในกระบวนการส่งคะเเนนเลือกตั้ง อีกวันหนึ่งคือ วันที่ 8 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่รัฐต่างๆ ถูกคาดหมายให้รับรองผลการเลือกตั้งและส่งผลคะเเนนตัวแทน Electoral College ในเเต่ละรัฐไปยังหน่วยงาน Archivist of the United States ที่ทำหน้าที่จัดเก็บเอกสารของรัฐ
แต่หากว่าไม่สามารถทำได้ตามกำหนด ซึ่งอาจเป็นผลของการฟ้องร้องหรือการนับคะเเนนที่ยังไม่เสร็จ กฎหมายเปิดทางให้สภานิติบัญญัติของแต่ละรัฐ เป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้ แม้ว่าอาจจะยังไม่ทราบผลการนับคะเเนนอย่างสมบูรณ์ได้
และหากว่ารัฐใด มีผู้ว่าการรัฐอยู่คนละพรรคการเมืองกับพรรคที่คุมเสียงข้างมากในสภาท้องถิ่น และทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ อาจมีการส่งผลคะเเนนโหวตของ Electoral College แตกต่างกันสองชุด ผลที่ตามมาคือเรื่องจะถูกส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา แต่หากว่ายังไม่สามารถหาข้อยุติได้ จะยึดตามเอกสารที่ถูกลงนามโดยผู้ว่าการรัฐ
จนถึงขณะนี้ ชาวอเมริกันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าแล้วกว่า 99 ล้านคน เกินกว่า 70% ของผู้ออกมาใช้สิทธิ์ทั้งหมดในการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งมีชาวอเมริกันออกมาใช้สิทธิ์ 138.8 ล้านคน
นอกจากการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้ว การเลือกตั้งวันที่ 3 พ.ย. นี้ยังมีความสำคัญในการกำหนดการทำงานของรัฐสภาสหรัฐฯ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ทั้ง 435 ที่นั่ง และสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ 35 จาก 100 ที่นั่ง รวมทั้งผู้ว่าการรัฐอีก 11 ที่นั่ง ตลอดจนตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลส่วนท้องถิ่นของรัฐต่าง ๆ ด้วย