ล้วงชีวิตและหัวใจของ "เจ มณฑล" เปิดใจในวันที่หายไปจากวงการ

2020-11-03 10:55:32

ล้วงชีวิตและหัวใจของ "เจ มณฑล" เปิดใจในวันที่หายไปจากวงการ

Advertisement

“มณฑล จิรา” หรือที่รู้จักกันดีในนาม “เจ-มณฑล จิรา” ดาราคนดังที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในสามีแห่งชาติของสาวๆทั้งหลาย ผู้เคยสร้างปรากฎการณ์ให้แก่วงการบันเทิงสั่นสะเทือนและกลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งประเทศมาแล้วในยุค 90 เรียกได้ว่าไม่มีใครโค่นเขาลงจากตำแหน่งเทพบุตรแห่งวงการ จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าตัวตัดสินใจหันหลังให้วงการเบื้องหน้าอย่างไร้เหตุผล และหลายคนก็ยังไม่รู้คำตอบว่าเขาหายไปทำอะไร  ล่าสุดในรายการต้มยำอมรินทร์ได้ขอเชิญสามีแห่งชาติคนนี้มาล้วงลึกแบบหมดเปลือก พร้อมพูดคุยผลงานเพลงไทยอัลบั้มแรกในชีวิต “ด้วยความเคารพ” ในวัยย่าง 42 ที่เจ้าตัวยกให้ดนตรีคือคลังเรียนรู้ของชีวิตว่า



เข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เพราะคุณพ่อพาเข้าวงการ ?

คุณพ่อ เขาส่งไปประกวดมินิโดมอนไปเดินแบบ แบบขำๆ แต่ชนะมาก็เลยได้ทำงานในวงการมาเรื่อยๆ



เราชอบงานในวงการบันเทิงหรือเปล่า ?

ผมชอบนะครับ ผมทำงานมาเรื่อยๆแต่ว่าช่วงที่ผมทำงานคือทำขนานกับการเรียนมาเรื่อยๆ ถ้าช่วงเราว่างเราก็ทำงานถ่ายแบบ เดินแบบ ถ่ายโฆษณาอะไรไป เวลาที่เราเรียนเราก็ไปตั้งใจเรียน คนก็มักจะถามว่าเรากำลังพีคอยู่เราหายไปไหน ก็เพราะว่าเรามีหน้าที่ในการเรียนที่ต้องรับผิดชอบเราก็ไปเรียน

เรามีความลังเลไหมเพราะงานกำลังรุ่ง คิดไหมจะเบรคเรียนแล้วรับงาน เพราะเรียนรอได้แต่งานรอไม่ได้ ?



ผมรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ มันเหมือนเหตุการณ์หลายๆอย่างบังคับด้วย เรารู้สึกว่างานที่เราทำเกี่ยวกับหน้าตาหรืออะไรเรารู้สึกว่าทำได้ไม่นาน 10 ปี อย่างมาก เราเลยเลือกที่ว่าจะไปเรียนในสิ่งที่เราสนใจดีกว่า เผื่อเรากลับมาทำงานในด้านอื่นได้ ซึ่งตอนนี้เราก็ได้นำสิ่งที่เราเรียนมากลับมาทำงานอยู่ด้วย ผมมีความสนใจในด้านการสร้างเพลง ทำดนตรี นั่นคือสิ่งที่ผมทำอยู่ในตอนนี้



รู้สึกว่าตัวเราเองติสท์ ไหม ?

รู้ครับ รู้เพราะว่าตัวเองถ้าโดนบังคับอะไรที่ไม่ชอบจริงๆมันจะทำไม่ได้นาน แล้วมันจะอึดอัดมากๆ นอกจากเราจะฝึกตัวเองถ้าไม่มีทางที่จะเลือกแล้วเราก็จะทำ แต่ถ้ามันมีโอกาสที่ทำอย่างอื่น เราลองไปหาความสามารถมาทำงานในด้านอื่นก็ได้เราก็จะเลือกในสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันความสุขในสิ่งที่เราทำเราก็จะเลือกสิ่งนี้ เราไม่รู้ว่าที่เราเป็นแบบนี้เราเป็นอาร์ตติสหรือเปล่า แต่ผมจะเซนซิทีฟมากกับการที่เราบังคับให้ตัวเราเองทำหรือคนอื่นมาบังคับให้เราทำบางอย่าง ผมรู้ตั้งแต่ตอนที่ผมไปฝึกงาน ไปทำงานแบบในออฟฟิศคือ ผมทำไม่ได้เพราะงานจะออกมาไม่ดีเท่านั้นเอง



ย้อนกลับไปเรื่องความติสท์ทีละอย่าง อย่างตอนไปเรียนที่ต่างประเทศ เพราะเขาไม่มีกฎระเบียบว่าเราต้องแต่ตัวตามระเบียบ สามารถฟรีสไตล์ ได้เราเลยไปเรียน ?

ตอนที่ผมเรียนที่เมืองไทย ที่โรงเรียนอินเตอร์ตอนนั้นเขาก็ฟรีสไตล์ (แต่เขาก็มีเครื่องแบบ) พอไปเรียนตอนแรกผมก็รู้สึกดีใส่อะไรก็ได้ เสื้อผ้าของเราคือฟรีสไตล์ แต่พอไปสักพัก เราเริ่มรู้สึกว่าพรุ่งนี้เราจะใส่อะไร มันเป็นอะไรที่เราไม่อยากคิดถึง งานถ่ายแบบมีชุดมีอะไรให้เราเปลี่ยนใส่ตลอดเวลา แต่พอเรามาอยู่มหาวิทยาลัย เราก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องเสื้อผ้าคือปัญหาเพราะว่าเราอยากใส่เสื้อผ้า แบบสบายๆ พอเรากลับมาถ่ายละครที่เมืองไทย เราก็ไปสั่งตัดเสื้อชุดหนึ่งก็สั่งตัดไปเลย 7 ชุดให้มันเหมือนกันเลย ออกแบบเองด้วยตอนนั้น เป็นเชิ้ต เนไท แล้วก็เป็นกางเกงสแล็ค เอาไปใส่ที่เรียนเพื่อนๆก็จะงงๆ เพราะเห็นชุดที่เราใส่คือเหมือนเดิม ใส่ชุดที่เราตัดไปอยู่ 4 ปี หลังจากจบก็ทิ้งชุดนั้นไปเลยไม่ได้เอากลับมาใส่อีกแล้วครับ

อัพเดทแฟชั่นตอนนี้ของเจ มณฑล คือเป็นแบบไหน ?

คือผมไปอ่านหนังสือ แล้วมันมีโปรเจค 3 ฤดู คือ สาม สาม สาม คือ 1 ฤดู เราจะใช้เสื้อ ผ้า รองเท้า ทุกอย่างคือทั้งหมด 33 ชิ้น คือถ้าเราจะซื้อชิ้นใหม่เข้ามาเราก็เก็บของเก่าที่เรามีอยู่เก็บเข้าไปแล้วรวบรวมให้ครบทั้งหมด 33 ชิ้น และอย่างเรารู้สึกว่าชิ้นไหนที่เราไม่ได้ใช้แน่ๆล่ะ เราก็นำชิ้นนั้นไปบริจาค มันก็เป็นการใช้ชีวิตแบบมินิมอล นิดๆ

สีเสื้อผ้าที่ใส่คือสีดำหมดเลยเพราะว่า ?



ผมว่ามันง่ายดี แล้วคือมันสามารถใส่ได้ทุกงาน เข้ากับสีผมของผมสีดำ ถ้าไปงานที่ต้องไปงานที่ต้องมีสีสันเราก็จะถามงานว่าเอาสีที่ตามคอนเซ็ปท์ของงานมาผูก หรือติดตามตัวได้ไหม ถ้าเขาบอกว่าไม่ได้จริงๆผมก็จะบอกว่าไม่ได้เหมือนกัน แต่บางทีก็ได้อย่างไปงานแต่ง เราก็จะมีเสื้อเชิ้ตสีขาว

แต่ความติสท์ของ เจ มณฑล คือไม่ได้อยู่แค่เครื่องแต่งกายเท่านั้น แต่อยู่ข้างในตัวเราด้วย ?

ผมว่าเป็นระบบมากกว่า อย่างการใช้มือถือของผม ผมทำงานเยอะผมก็จะเช็คเยอะ ใช้เยอะ แต่ถ้าผมทำงานผมก็จะมีช่วงเวลาในการใช้มือถือ เป็นช่วงเวลาของผม อย่างตื่นมาตอนเช้าเราจะไม่ดูเลย เรามาเช็คช่วงเที่ยงๆ มาเช็คอีเมล์ มีใครโทรมาบ้าง มาเช็คโซเชียลต่างๆข่าวต่างๆ ถ้ามีคนโทรมาช่วงเวลาที่เราไม่ได้ตั้งไว้เราก็ไม่รับสายเลย เพราะว่าผมตั้งปิดเสียงไว้ ผมตั้งเวลาที่จะใช้มือถือไว้คือ ตอนเที่ยง กับอีกครั้งคือ 1 ทุ่มเลย เราเป็นที่ชอบทำอะไรเป็นเวลาตามเวลาที่เรากำหนดไว้



เพราะการทำงานเป็นระบบ จัดตารางชีวิตเป็นเวลา แบบนี้มาหลายปีเลยทำให้คิดสร้างผลงานเพลงออกมาในยุคแบบนี้ ซึ่งออกมาเป็นอัลบั้มเลย 13 เพลง ?


ใช่ครับ ทำเองหมดเลย ตั้งแต่เนื้อร้อง ทำนอง ทำเองทุกอย่างที่เรียกว่าเป็นการทำเพลงออกมาครับ 100 เปอร์เซ็นต์ เราทำเอง 100 เปอร์เซ็นต์เลย ยกเว้น มิวสิควิดีโอครับ ตอนแรกอยากจะทำเอง เพราะมันควรที่จะตามคอนเซ็ปต์อัลบั้มคือเราออกเป็นศิลปินเดี่ยว ทำเองหมดเลยหมดทุกอย่าง จริงๆในขั้นตอนการทำผมไม่ได้ให้ใครฟังเลยเสร็จแล้วเราถึงค่อยเอาไปให้ค่ายฟัง เขาบอกว่าเขาสนใจเขาบอกเราว่าควรที่จะปล่อยเป็น VDO นะ ถ้าจะปล่อย 13 เพลงพร้อมกัน ก็ควรปล่อยมิวสิควิดีโอทั้ง 13 เพลงเลย ซึ่งอัลบั้มนี้มีชื่อว่า ด้วยความเคารพ ผมรู้สึกว่าการแต่งงานเราก็แต่งแบบตรงๆเราก็อยากให้คนฟัง ที่เขาได้ยินเพลงเราว่ามันมาจากใจจริงๆ ใน 13 เพลงถามว่าเพลงไหน คือ เพลงโปรโมท คือ ไม่มีครับ เพราะเราปล่อยพร้อมกันเลย 13 เพลง ก็ถือว่าทั้ง 13 เพลงคือเพลงโปรโมททั้งหมดเลยครับ (หัวเราะ) คือ ผมสร้างมาเป็นอัลบั้ม ไม่มีเพลงไหนที่จะมาเป็นตัวแทนของเพลงในอัลบั้มนี้ เพราะทุกเพลงที่ผมสร้าง ผมเขียน คือ เป็นตัวแทนของผมทุกเพลง มีหลากหลายเพลง หลายเรื่องราว อยากให้ฟังทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ 13 เพลง เพราะเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจนำเสนอมาก

จริงหรือเปล่าที่การที่ เจ มณฑล ทำเพลงขึ้นมา เพราะต้องการแจ้งเกิดในฐานะศิลปินใหม่ ?  

คือเราได้เข้าไปคุยแผนการตลาด เราไปคุยกับเด็กรุ่นใหม่มาไม่มีใครรู้จัก เจ มณฑล จิรา หรอก เป็นเพราะเขาลืมไปหมดแล้ว หรือเขาเกิดไม่ทัน ถึงว่าโปรเจคนี้ถือว่า เราคือศิลปินใหม่เลย เราก็คิดว่าดี เป็นการเริ่มต้นใหม่ เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของเรา ไม่กดดันนะครับ ไม่ค่อยเครียดด้วยอายุด้วยครับ เราเป็นคนทำเพลงที่มีหลัก เราทำเพลงมาเยอะไม่ได้เกี่ยวกับตลาด เพราะเพลงเรามันลึก มันฟังยาก เราเลยชินกับตรงนี้มาก แต่ 13 เพลงที่ผมทำออกมาล่าสุด ผมคิดว่ามันฟังไม่ยากนะ เพราะผมพยายามทำให้ฟังง่ายๆ แนวเพลงคือ เป็น POP เป็น โฟล์ค เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับความรักหมดเลย

เพราะกำลังอินเลิฟอยู่หรือเปล่า ?

น่าจะมีส่วนครับ สถานภาพความรักตอนนี้ คือดีครับ แฮปปี้ ตามข่าว คือเราใช้เวลาด้วยกันเราแฮปปี้กันทั้งคู่ แต่เรื่องการวางแผนอะไรใดๆคือ ผมไม่ได้วางแผนอะไรเลย ถ้าเรายังรู้สึกดีก็เดินร่วมทางกันไป แต่ถ้าเริ่มมีปัญหาอะไรใดๆเราก็มานั่งแก้ปัญหากัน แต่ถ้าแก้แล้วไม่ได้ก็ต้องแยกทางกันไป