เตือน "ผู้ปกครอง" ระวังบุตรหลานติด "ไวรัส RSV" ที่กำลังระบาดอยู่ทั่วประเทศในขณะนี้
เมื่อวันที่ 26 ต.ค. เพจเฟซบุ๊ก "Infectious ง่ายนิดเดียว" โพสต์ข้อความแจ้งเตือน ว่า ระบาดหนักกว่าโควิด-19 ก็ RSV อาการหนัก ระบาดหนักช่วงนี้ทั้ง รพ.รัฐ เอกชน คลินิก รพ.สต.ทั่วประเทศ เต็มไปด้วยคนเป็นไข้หวัดหลอดลมอักเสบ และปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส RSV (อาร์เอสวี) เยอะมาก แน่นทุก รพ. โดยอาการเบื้องต้น คือ ไข้ ไอ มีเสมหะ และมีน้ำมูก บางรายอาการหนักมีหอบเหนื่อยหายใจมีเสียงหวีด ตรงกับหลักการ "3 S" คือ Swelling หลอดลมบวม ตีบแคบ ทำให้หายใจหอบเหนื่อย ลมเข้าปอดได้ แต่ออกลำบาก เด็กจึงต้องหายใจเร็วและแรง ใช่กล้ามเนื้อกระบังลมช่วยหายใจ "Spasm" หลอดลมไวและตีบได้ ไวต่อสิ่งกระตุ้น และ "Secretion" สารคัดหลั่งในหลอดลมมาก และอุดหลุดลม หายใจลำบาก ต้องดูดเสมหะช่วย บางรายรุนแรง หายใจล้มเหลว ต้องให้ออกซิเจน หรือใส่ท่อช่วยหายใจในห้องไอซียู สำหรับกลุ่มเสี่ยง คือ เด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี ยิ่งอายุน้อยอาการยิ่งรุนแรง เด็กคลอดก่อนกำหนด มีโรคประจำตัวเช่น ปอด หัวใจ
สำหรับการรักษา แพทย์จะรักษาตามอาการ เพราะไม่มียาต้านไวรัสโดยเฉพาะ ทั้งกินและฉีด ไม่มีวัคซีน การรักษา คือ พ่นยา ดูดเสมหะ ให้ออกซิเจน ให้สารน้ำ ยาลดไข้ การพยากรณ์โรค มีตั้งแต่ไม่รุนแรง หวัด ไอ น้ำมูก จนไปถึงปอดอักเสบ หายใจล้มเหลว โดยไวรัสตัวนี้ หายดีแล้วมีโอกาสเป็นซ้ำถ้ามีประวัติเป็นภูมิแพ้ในครอบครัว พ่อ หรือแม่ อนาคตเด็กอาจเป็นโรคหอบหืดตามมาได้ ส่วนการป้องกันที่พอจะช่วยได้ คือ 1.ควรหลีกเลี่ยงไปชุมชนคนเยอะหรือหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ใหญ่และเด็กที่มีอาการป่วย ถ้าป่วยต้องอยู่บ้าน หยุดเรียนแล้วไปพบแพทย์ 2.วัคซีนโรคอื่นๆ ที่ป้องกันได้ เช่น ไข้หวัดใหญ่ วัคซีนไอพีดี เป็นทางเลือกสามารถฉีดได้ 3.รักษาความอบอุ่นของร่างกาย ช่วงนี้อาการหนาวเย็นไวรัสชอบ 4.คนมีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด โรคหัวใจ โอกาสติด RSV แล้วอาการรุนแรงกว่าเด็กทั่วไป ต้องระวัง อย่าขาดยา หรือถ้ามีกาการป่วยให้รีบไปพบแพทย์ 5.ล้างมือ สวมหน้ากากและรักษาระยะห่างจะช่วยป้องกัน RSV ไข้หวัดใหญ่ และปอดอักเสบได้ ทั้งนี้ต้องขอให้กำลังใจผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ เพราะต้องดูดเสมหะ และต้องพ่นยาวนไป