โพลแฉ"ต่างชาติ"สุมหัวปั่น"คนไทย"ให้เกิดความแตกแยก

2020-10-11 15:30:09

โพลแฉ"ต่างชาติ"สุมหัวปั่น"คนไทย"ให้เกิดความแตกแยก

Advertisement

"ซูเปอร์โพล" แฉ "ต่างชาติ" สุมหัว "คนใน" ปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก หวั่นไทยแข็งแกร่งควบคุมยาก

เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง การเมืองใหม่ หรือ เก่า สาดสี กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 5,260 ตัวอย่าง ระหว่าง 1 มิ.ย.-10 ต.ค.ที่ผ่านมา เมื่อถามถึงการเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ วันนี้ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 93.3 ระบุว่า เป็นการเมืองเก่า เพราะนำมวลชนลงถนน เคลื่อนไหวนอกสภา สนับสนุนกลุ่มจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน เสาหลักของชาติ สาดสี เสียดสี พ่นสี จ้องโค่นล้มรัฐบาล ไม่สนใจว่าจะซ้ำเติมวิกฤตชาติและทุกข์ยากของประชาชน ขอให้พรรคพวกตนขึ้นมามีอำนาจ ปล่อยต่างชาติเข้าแทรกแซงสั่นคลอนประเทศ ยังไม่มีผลงานแต่จะเข้ามาทำงาน กลุ่มการเมืองระดมทุนบริจาคจากประชาชนไปช่วยเหยื่อโควิด แต่เอาไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟกักเก็บไว้จ่ายประชาชนไม่หมด ยังเห็นการทำงานการเมืองแบบเดิมๆ ขณะที่ร้อยละ 6.7 ระบุว่า เป็นการเมืองใหม่ เพราะมีคนรุ่นใหม่ นโยบายใหม่ มาตรการใหม่ สถานการณ์ใหม่ช่วงโควิด-19 มีประเด็นใหม่ ใช้เทคโนโลยีโซเชียลมีเดียทำงานการเมือง เป็นต้น

ที่น่าพิจารณา คือ เมื่อเปรียบเทียบแนวโน้มตั้งแต่เดือน มิ.ย.ถึงต้น ต.ค.63 ต่อพรรคการเมืองหากมีการเลือกตั้ง พบว่า เดือน มิ.ย. พรรคอันดับหนึ่ง ได้แก่ พรรคก้าวไกล (อนาคตใหม่เดิม) ร้อยละ 11.7 และเพิ่มขึ้นอีกในเดือน ก.ค. มาอยู่ที่ร้อยละ 13.0 แต่ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. ปลายเดือน ก.ย. จนถึงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา สัดส่วนของผู้ตั้งใจที่จะเลือกพรรคก้าวไกล หรืออนาคตใหม่เดิม ร่วงหล่นลงมาตามลำดับจากร้อยละ 13.0 ในเดือน ก.ค. มาอยู่ที่ร้อยละ 5.9 ในต้นเดือน ก.ย. ร้อยละ 2.4 ในปลายเดือน ก.ย. และร้อยละ 1.2 ในช่วงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่พรรคเพื่อไทย ช่วงเดือน มิ.ย.อยู่ที่ร้อยละ 10.8 เดือน ก.ค.อยู่ที่ร้อยละ 9.3 ต้นเดือน ก.ย.อยู่ที่ร้อยละ 5.4 ปลายเดือน ก.ย.อยู่ที่ร้อยละ 2.3 แต่ต้นเดือน ต.ค.ขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.9 ที่น่าสนใจ คือ พรรคพลังประชารัฐ ช่วงเดือน มิ.ย.อยู่ที่ร้อยละ 9.4 เดือน ก.ค.อยู่ที่ร้อยละ 10.9 ต้นเดือน ก.ย. (ช่วงถูกอภิปราย) กลับสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 18.8 แต่ปลายเดือน ก.ย. ตกมาอยู่ที่ร้อยละ 4.9 แต่ต้น ต.ค.ขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 6.1 ส่วนพรรคอื่นๆ ทั้งพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน สัดส่วนไม่แตกต่างกันมากนักในแต่ละช่วงเดือนที่ทำการสำรวจ




อย่างไรก็ตามที่น่าสนใจ คือ ทุกช่วงเวลาสำรวจ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการพรรคการเมืองใหม่แท้จริง ไม่เป็นต้นตอของความขัดแย้งของคนในชาติ ไม่ล่วงละเมิดร่วมมือกับต่างชาติสั่นคลอนสถาบัน เสาหลักของชาติ ซื่อสัตย์ ไม่แย่งตำแหน่ง ทรยศหักหลังกัน มีผลงานช่วยเหลือประชาชนได้จริง และอื่นๆ คือ สัดส่วนเดือน มิ.ย.อยู่ที่ร้อยละ 57.0 เดือน ก.ค.อยู่ที่ร้อยละ 59.6 ต้น ก.ย.อยู่ที่ร้อยละ 62.9 ปลายเดือน ก.ย.พุ่งสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 84.0 และต้นเดือน ต.ค. อยู่ที่ร้อยละ 81.9 ที่น่าสนใจ คือ ความเป็นจริงในโลกโซเชียล พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 82.8 ใช้อินเทอร์เน็ตในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ขณะที่ร้อยละ 17.2 ไม่ได้ใช้ และที่น่าพิจารณา คือ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 94.3 ไม่ใช้ทวิตเตอร์ (Twitter) ทวีต รีทวีตเรื่องการเมืองเลยในช่วง 30 วันที่ผ่านมา มีเพียงร้อยละ 5.7 เท่านั้นที่ใช้ ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 94.7 ไม่เคยใช้เฟซบุ๊ก (Facebook) โพสต์ แชร์เรื่องการเมืองเลยในช่วง 30 วันที่ผ่านมา มีเพียงร้อยละ 5.3 เท่านั้นที่ทำ ยิ่งไปกว่านั้น คือ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 98.0 ไม่เคยใช้อินสตาแกรม (IG) โพสต์เรื่องการเมืองเลยในช่วง 30 วันที่ผ่านมา มีเพียงร้อยละ 2 เท่านั้นที่ทำ

ที่น่าพิจารณา คือ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 84.0 ระบุว่า ถือว่าเป็นการแทรกแซงประเทศไทยที่มีการออกมาเคลื่อนไหวของบริษัทโซเชียลมีเดียข้ามชาติ บางบริษัท เรื่องการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองต่างชาติบางประเทศ กับการแทรกแซงการเมือง และเรื่องละเอียดอ่อนที่กระทบจิตใจของคนไทย ขณะที่ร้อยละ 16.0 ระบุว่า ไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซง ยิ่งไปกว่านั้น ผลสำรวจยังพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 84.8 ระบุว่า น่ารังเกียจที่มีการออกมาเคลื่อนไหวของบริษัทโซเชียลมีเดียข้ามชาติบางบริษัทเรื่องการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ และนักการเมืองต่างชาติบางประเทศ กับการแทรกแซงการเมืองและเรื่องละเอียดอ่อนกระทบจิตใจของคนไทย



ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้มีสองประเด็นใหญ่ให้คนไทยทั้งประเทศช่วยกันพิจารณา คือ คะแนนความนิยมของทุกพรรคการเมืองร่วงหล่นซึ่งน่าจะเกิดจากต่างพรรคต่างมีเหตุปัจจัยที่ก่อกรรมแตกต่างกัน คือ พรรคก้าวไกล กับพรรคเพื่อไทย อาจมีภาพของการเข้าร่วมสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มบุคคลที่ล่วงละเมิดจาบจ้วง สั่นคลอนเสาหลักของชาติ เป็นต้นตอแห่งความขัดแย้งรุนแรงบานปลายของคนในชาติ ร่วมมือกับต่างชาติ สั่นคลอนประเทศ ซ้ำเติมวิกฤตชาติและทุกข์ยากของประชาชน ที่หลายคนมองว่าแกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวน่าจะได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวจากแหล่งสนับสนุน แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้ประโยชน์อะไร จะมีประโยชน์อะไรถ้าชนะบนซากปรักหักพังของชาติและประชาชน ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐคะแนนนิยมที่ตกลงนั้น พบว่ามีสาเหตุจากปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้ นอกจากนี้ผลการศึกษาเบื้องต้นยังพบว่า ข้อมูลความเป็นจริงในโลกโซเชียลน่าจะถูกพิสูจน์จากผลการศึกษาครั้งนี้ได้ว่า จำนวนคนที่ทวีต รีทวีต โพสต์ หรือแชร์ในโซเชียลมีเดียเรื่องการเมือง เป็นคนไทยในประเทศไทยเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น หรือประมาณการจากจำนวนคนไทยที่ถูกศึกษาทั้งหมดประมาณ 2-3 ล้านคนกลุ่มเป้าหมาย 50 กว่าล้านคน และในจำนวนประมาณ 2-3 ล้านคนที่ใช้โซเชียลมีเดียเรื่องการเมือง มีการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มสนับสนุนรัฐบาล ไม่สนับสนุนรัฐบาล และพลังเงียบซึ่ง ไม่ได้อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวอีกว่า ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องให้คนไทยทั้งประเทศรู้ความเป็นจริงในโลกโซเชียล และต้องส่งสัญญาณไปยังกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กำลังปั่นกระแสในโลกโซเชียลที่ทั้งหลอกตัวเอง และปั่นกระแสให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายสร้างความแตกแยกของคนในชาติ กลุ่มโซเชียลมีเดียข้ามชาติ เจ้าหน้าที่รัฐต่างชาติ นักการเมืองต่างชาติ ควรหยุดคุกคามจิตใจของคนไทยและหยุดสั่นคลอนเสาหลักของชาติและของประชาชนคนไทย ส่วนสาเหตุที่คนไทยถูกคุกคามเพราะต่างชาติไม่ต้องการให้ประเทศไทยเติบโตไปกว่านี้ เพราะถ้าแข็งแกร่งกว่านี้ประเทศไทยจะยิ่งใหญ่ และยากเกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมได้ โดยสรุป คนไทยทุกคนควรจะหันหน้าหารือกันด้วยสันติวิธี ด้วยความสงบสุข คำนึงถึงผลประโยชน์ชาติ ไม่ก่อความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย ทำลายชาติบ้านเมืองและความอยู่เย็นเป็นสุขของคนไทยด้วยกันเอง