ผลสำรวจความคิดเห็นสาธารณะ หลังการ “ดีเบต” โต้วาทีแสดงวิสัยทัศน์ ครั้งที่ 1 ระหว่าง 2 ผู้สมัครตัวเต็งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2020 คือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน ของพรรคเดโมแครต สหรัฐ ที่มหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รีเซิร์ฟ ในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ เมื่อคืนวันอังคาร ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งผู้สมัครทั้งสอง ปะทะคารมกันอย่างดุเดือดเผ็ดมัน ตลอดเวลา 90 นาทีที่กำหนดไว้ พบว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มองว่าไบเดนชนะทรัมป์ และมีไม่น้อยกล่าวว่าดีเบตครั้งนี้ "ไร้สาระ”
เริ่มจากโพลสำรวจของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น พบว่า 60% ของผู้ที่ถูกสอบถาม มองว่า ไบเดนพูดได้ดีมีเหตุผลกว่าทรัมป์ ขณะที่ 28 % มองว่าทรัมป์พูดได้ดีกว่า ผลสำรวจของซีเอ็นเอ็นออกมาใกล้เคียง กับโพลหลังการดีเบตรอบแรก ในการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐเมื่อปี พ.ศ. 2559 ระหว่างทรัมป์กับนางฮิลลารี คลินตัน อดีตผู้สมัครของพรรคเดโมแครต ซึ่งครั้งนั้นชาวอเมริกันที่ตอบคำถาม 62% มองว่าฮิลลารีเป็นฝ่ายชนะ และ 27% บอกว่าทรัมป์พูดได้ดีกว่า
ส่วนโพลสำรวจทางออนไลน์ ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส พบว่า 48% ยกให้ไบเดนทำได้ดีกว่า และ 41% มองว่าทรัมป์ทำได้ดีกว่า และ 10% ให้ทั้งคู่เสมอกัน อย่างไรก็ตาม 69% ของผู้ตอบคำถามกล่าวว่า การประชันวิสัยทัศน์ระหว่าง 2 ผู้สมัครตัวเต็งครั้งนี้ “น่าเบื่อหน่าย” และ “ไร้สาระ” มีเพียง 17% เท่านั้น ที่กล่าวว่า "มีสาระ”น่ารีบฟัง
ดร.แฟรงก์ ลุนต์ นักวิเคราะห์การเมืองชื่อดังของสหรัฐ กล่าวว่า ทีมงานวางแผนหาเสียงของทั้งสองฝ่าย คาดหวังให้การดีเบตครั้งนี้ดึงคะแนนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ที่ยังไม่ตัดสินใจจะเลือกใคร แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล คนกลุ่มนี้ยังมีท่าทีไม่อยากลงคะแนนให้ทั้งไบเดนและทรัมป์ หรือถึงขั้นอาจจะไม่ออกไปใช้สิทธิ์ ลงคะแนน ในวันเลือกตั้งที่ 3 พ.ย. ดั้งนั้นทีมงานของทั้งคู่จะต้องทำงานให้หนักขึ้น สำหรับการดีเบตครั้งที่ 2 จากทั้งหมด 3 ครั้ง ในวันที่ 15 ต.ค.ที่จะถึง ที่เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา.