"แอน จักรพงษ์" เปิดตัวทายาทที่ใช้เงินกว่า 30 ล้านถึงได้มา

2020-09-29 11:20:02

"แอน จักรพงษ์" เปิดตัวทายาทที่ใช้เงินกว่า 30 ล้านถึงได้มา

Advertisement

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วงนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักสาวสวยที่หลายๆคนเรียกขานเธอว่า 'แอน เจเคเอ็น' (Anne JKN) หรือ 'แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์' จากอดีตเป็นอาตี๋ลูกคนโตแห่งศูนย์เช่าวิดีโอ แต่ปัจจุบันเธอเป็นนักค้าคอนเทนต์อันดับหนึ่งของประเทศไทย ที่ได้มาเป็นแขกรับเชิญสุดพิเศษของรายการ CLUB FRIDAY SHOW โดยเจ้าตัวได้เปิดหมดทุกมุมของชีวิตหลังโดนบูลลี่หนักจึงเป็นแรงกระตุ้นให้ตัวเองประสบความสำเร็จ เพราะคิดเสมอว่าชีวิตเราต้องลิขิตเองได้ทุกอย่าง เธอสร้างมาด้วยมือตัวเองล้วนๆ พร้อมเปิดตัวทายาทหมื่นล้านอาณาจักรเจเคเอ็น “แอนดรูว์ - แองเจลิก้า” ลูกโดยสายเลือดอย่างละเอียดว่า



จุดเริ่มต้นของความสวย ไปเริ่มต้นจากอะไร ?

ไปเกาหลีก่อนเลยค่ะ เพราะไปซื้อคอนเทนท์ที่โน่นบ่อย แล้วกลายเป็นว่าโรงพยาบาลที่โน่นเขารู้จักเรา เริ่มต้นจากผมของเรามันร่วงแล้วมันเถิกเพราะว่าหาที่ปลูกผมให้เมืองไทยแล้วทำไมมันไม่ขึ้นสักที แล้วมีผู้ใหญ่มากๆแนะนำเราค่ะว่าทำไมไม่ไปทำที่เกาหลี เพราะยังไงเราก็ไปบ่อยอยู่แล้ว เขาก็ให้โรงพยาบาลเรามา 4-5 ที่เราก็เลือกแล้วตกลงจะไปนะ พอไปถึงคือที่มารับเราคือวีไอพีมาก เขาเอารถเบนซ์มารับเราเลย เราก็ตกใจเรายังไม่ได้ตกลงเลยว่าเราจะทำหรือเปล่า แค่มาคุยเฉยๆเลยตอนนั้น เจ้าของมากันหมดเลยมานั่งมองเรา เขาบอกเราว่าผมทำง่ายมาก แต่ที่อยากทำให้ อย่าโกรธนะ ขอทำหน้าใหม่ทั้งหน้า เราก็อึ้งตกใจเลย เพราะ ณ ตอนนั้น เราเป็นแอนดรูว์อยู่ เป็นผู้ชายเลย ตอนนั้นเราคิดว่าเราจะทำแค่ผม แต่ตอนนั้นคือ เราก็ปรึกษากับเพื่อนที่เป็นสตรีข้ามเพศที่ไปด้วยกัน ก็เลยตัดสินใจทำก็ได้ เราก็บอกว่าถ้าเธอทำให้ฉันหน้าเป็นผู้หญิงได้ทำเลย แต่ราคาเท่าไหร่เหรอขั้นตอนแรกที่ทำเลย 3 ล้านกว่าบาท เราบอกว่าเราไม่ทำหรอกแพงขนาดนี้ เราจะทำไม เขาบอกเราว่า หยุด...คือบอกว่าจะทำให้คือฟรีทั้งหมดตอนนั้นบินไปทำช่วงปีใหม่ ทรมานที่สุดเลยตอนนั้นจำได้




หัวจรดเท้าเลยไหม 3 ล้าน ?

เฉพาะผมกับหน้าอย่างเดียวค่ะ นั่นคือครั้งแรกนะคะ เพราะเขาทำตลอดมาเป็นระยะเวลา 5 ปี เขาออกให้ 20 ล้านกว่าบาท เราออกเอง 30 ล้านบาท รวม 50 ล้านบาท 5 ปีที่ผ่านมา แอน จักรพงษ์ ใช้เงินไป 50 ล้านบาท ในการทำศัลยกรรมหมดทั้งตัวยกเว้นเล็บเท้า ทำมาหมดแล้วทุกอย่าง หน้าทำไม่รู้กี่รอบ ไม่เจ็บก็ไม่สวยค่ะ ที่ทำและเจ็บที่สุดคือสะโพกหรือทำก้นคือเจ็บสุดล่ะ สองอาทิตย์คือนอนคว่ำอย่างเดียวอยู่บนเตียง กินอะไรก็ไม่ได้ ต้องให้ยาแก้ปวดทุก 4 ชั่วโมง



ทุกครั้งที่ไปเจอมีดหมอคือเราตั้งใจ ?

เรามีความสุขค่ะ เพราะเราคิดว่าเราจะสวย ลิขิตชีวิตสวยด้วยตัวเอง เราบอกกับตัวเองเลยว่าเราต้องทำแบบนั้นให้ได้ คือทุบหน้าประมาณ 3 รอบ คือ ทุบกระดูกหน้าเลยค่ะ 3 รอบ ตา 3 รอบ จมูก 2




จากเคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่เกิดมาในร่างผิดแล้วติดลบกับสิ่งนั้นมาตลอด วันแรกที่เห็นว่าตัวเองเป็นผู้หญิง รู้สึกยังไง ?

ร้องไห้เลยค่ะ และคิดว่ารางวัลชีวิตฉันมาแล้ว คือครั้งแรกสุดเนี่ยยังไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่นะ เพราะหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆเปลี่ยนไปๆแต่พอช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา หน้าเปลี่ยนไปแบบคนละคนเลย ไปกูเกิลดูได้ค่ะ ทุกคนก็คงคิดว่าสมควรแล้วใช้เงิน 50 ล้านบาท เพราะว่ามันต้องใช้นะ เพราะร่างเก่าเราอ้วนแล้วก็โทรมขนาดนั้น เราลดความอ้วนมา 25 กิโล ดูดไขมัน 5 รอบ หน้าอก 3 รอบ คือพูดจริงๆเลยคือคนช็อคเมื่อเห็นเราแบบนี้ แต่มีอยู่ 2 อย่างที่ไม่เปลี่ยนคือเสียงกับชื่อ ตั้งใจที่จะไม่เปลี่ยนค่ะ เพราะเป็นเอกลักษณ์ค่ะ เพราะทำให้คนเคารพและศัทธาว่า I’m a trans woman and I’m proud to be myself.



แต่กว่าจะมีเป็น แอน จักรพงษ์ ในวันนี้ ก็ต่อสู้มาเยอะ ?

แอนอยากจะบอกอย่างนี้ คนที่เป็นโรคซึมเศร้า คือเจออย่างแอนหลายๆคนคืออาจจะบ้าไปเลย อาจจะทำร้ายตัวเอง หรือประชดตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากตัวคุณเอง คุณอย่ายอมแพ้ อย่าให้มาร อย่าให้ซาตานอย่างพวกผีปีศาจคนเหล่านั้นมาทำร้ายตัวเรา โดยการที่บอกว่าฉันโดนอีกล่ะ ยิ่งเราซ้ำเติม ยิ่งเราดราม่ากับตัวเองยิ่งไปกันใหญ่ จงคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราคือโชคดีที่เกิดขึ้น ฉันจะได้รู้ความแกร่งคืออะไร มาดูฉันสิครั้งต่อไป ฉันจะลุกขึ้นสู้ให้ดู นั่นคือสิ่งที่แอนทำ ลุกขึ้นแล้วจับไมค์โคโฟน แล้วก็ไปเป็นกัปตันโรงเรียน ยิ่งพูดบนเวที ยิ่งคนมาดูเยอะเท่าไหร่ เรามีความสุขมาก แอน จักรพงษ์ มีความสุขจริงๆคือมันเป็นเพื่อนของเรา จนกลายเป็นเราฝึกการเป็นผู้นำจากตรงนั้น ที่เรามาเป็นกัปตันโต้วาที มาเป็นนักพูดของโรงเรียน แล้วก็เรียนได้ที่ 1-2 ตลอด เพราะเรารักตัวเอง เพราะเราถูกละเมิดมา ถูกบูลลี่มา แล้วคือเราไม่รู้จะทำยังไง แล้วมันถูกขังอยู่ในร่างที่ไม่ใช่ของเรา ไม่มีทางอื่นเลยค่ะ ต้องทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุดเลยคือความเจริญของตัวเองซึ่งเป็นข้อเดียว ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเอง เก่ง เด่น ประสบความสำเร็จ นั่นคือความสุขของตัวเรา  เพราะเราไม่สามารถมีความรักแบบหนุ่มสาวคนอื่นได้ เราไม่สามารถเป็นตัวเองได้ แต่งตัวสวยๆแบบคนอื่นได้ แล้วความสุขของเราจะมาจากอะไรนอกจากประสบความสำเร็จ เรียนให้เก่ง ให้คนชื่นชม

ทั้งที่เราเป็นเด็กที่เรียนเก่ง แต่ทำไมต้องลาออกจากโรงเรียน ?

พอเราจบม.5 เราไปยื่นใบลาออกเลย ไม่ได้คุยกับคุณพ่อด้วยเพราะกลัวว่าท่านจะไม่ให้เราลาออก มัดมือชกเขาเลยว่าเราไม่เรียนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ช็อคมากที่เราลาออก แล้วเราบอกเขาว่าเรียนไม่ได้แล้วจริงๆเพราะเรียนต่อไปเสียเวลาชีวิตเราแน่นอน เพราะเราไม่ชื่นชมระบบการศึกษาที่เรียนอยู่ เรารักตัวเองมากๆสิ่งที่เรียนอยู่ไม่ใช่ตัวฉันแล้ว ฉันบินไปเรียนเมืองนอกดีกว่าเพื่อที่จะไปเรียนภาษาอังกฤษ ตอนนั้นไปเรียนที่ออสเตรเลีย ที่บ้านคือ ให้เงินเราก้อนเดียวนิดเดียว และนอกนั้นคือเราไปทำงานเป็นเด็กปั๊มน้ำ เราคิดอย่างเดียวฉันต้องไปเรียนรู้โลกกว้างเพื่อที่จะได้วิสัยทัศน์ เราไม่เคยเสียใจที่เราลาออกมาเลย เพราะตอนนั้นที่เราลาออกเรารู้ตัวเราตลอดว่าเราอยากไปเรียนภาษาอังกฤษ และ รัฐศาสตร์ เรารักตัวเองขนาดนั้นเพราะถูกบูลลี่มาเยอะ ถูกกดดันมาเยอะ จนกลายเป็นว่าสิ่งไหนที่เราสามารถสร้างความเจริญให้กับตัวเองได้มากที่สุดเราจะทำ





พอเราประสบความสำเร็จทุกอย่างแล้ว แต่สิ่งหนึ่งเลยที่เราอยากทำคือ ?

พอเราไปถึงฝั่งฝันแล้ว บริษัทกลายเป็นมหาชนเรียบร้อยแล้ว ตัวของเราเลยบินไปที่อเมริกาเพื่อไปฝากสเปิร์ม เพราะตอนนั้นยังไม่กล้ากินฮอร์โมน ยังไม่กล้าทำอะไรกับตัวเองเลยนะคะ แต่ตอนนั้นเราแค่ทำหน้า ตอนนั้นทำแค่ให้ตัวเองมีการพัฒนาขึ้น แต่ยังไม่ได้เป็นผู้หญิง เราก็ไปฝากสเปิร์มแล้วก็ไปเลือกผู้หญิงที่เป็นเจ้าของไข่ที่จะมาผสมกับสเปิร์มของเรา คนที่เราเลือกมาเป็น egg donor ได้เป็นชาวเยอรมัน ที่อยู่ในอเมริกา ผมสีบลอนด์สวย ประวัติการศึกษาดี อายุแค่ 22 คือสุขภาพร่างกายดี แล้วเราก็เอาไข่ของเขามาผสมกับสเปิร์มเรา ได้ออกมาเป็น embryo (หรือ อุ้มบุญ) เมื่อผสมแล้วเราก็ยิงไปสู่ผู้หญิงผิวดำคนหนึ่ง และ ละตินคนหนึ่ง เราสามารถเลือกเพศได้ด้วย คนแรกจึงเป็นผู้ชายและอีกคนเราให้เป็นผู้หญิง เราใช้เงินทั้งหมดที่ได้ลูกสองคนนี้มา คือ 30 ล้านบาท คุณพ่อคุณแม่คือดีใจมาก เพราะความใฝ่ฝันของเราอยากจะมีลูก เพราะเรารักเด็ก

ซึ่งเบนจามินวันนั้นพอได้ยินว่าเราจะไปรับลูกเขามีความรู้สึกยังไงบ้าง ?

ตกใจค่ะ เพราะเราไม่กล้าเล่าให้เขาฟัง แต่ก่อนที่เราจะบอกเขาว่าเราจะไปรับลูกเราก็กลัวนะคะว่าเขาจะรับได้ไหม เพราะไม่ใช่ลูกเขา แต่เอาจริงๆพอบินไปแล้ว ณ วันที่เราบินไปคือลูกกำลังจะเกิดแล้วนะ เพราะเราให้เขาอุ้มที่อเมริกาและถูกกฎหมายทั้งหมด และลูกทั้งสองคนของเราได้เป็นสัญญาณชาติอเมริกันหมดไม่ได้เป็นคนไทย พอมาอยู่เมืองไทยก็ต่อวีซ่าที่เมืองไทยตลอดเวลา พอเราบินไปรับลูกแล้วเราก็ได้ส่งภาพมาให้เบนจามินดู เขาก็ส่งข้อความมาว่ายินดีและมีความสุขกับคุณด้วย แล้วก็มีอีกประโยคหนึ่งที่เขาส่งมาคือ ฉันอยู่ที่นี่ด้วย เขาบินตามเราไปเซอร์ไพร์สเรา เขาบอกว่าเธออยู่ตรงไหนฉันจะมาหา อยู่ตรงไหนฉันจะตามไปให้ให้ได้ ตอนนั้นเราน้ำตาไหลเลย แล้วอีกอย่างหนึ่งที่เขาบอกเราคือ เขาคิดกับเรามากกว่าคำว่าเพื่อนแล้ว คือวันนั้นได้ลูกแล้วก็ได้แฟนด้วย ได้คบทุกอย่างเลย

พอเราเห็นว่าลูกเราเกิดขึ้นมา เรากำลังจะแม่แล้ว รู้สึกยังไง ?

นึกไม่ถึงว่าเป็นแม่คนจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ นาทีแรกที่เห็นเขา ที่เราอุ้มเขา เรารู้สึกว่าเป็นอะไรที่เรารอมานานที่สุดแล้ว (น้ำตาคลอ) เราคิดตอนนั้นว่า หนูมาได้ยังไง หนูมาเกิดอยู่กับแม่ได้ยังไง คิดว่าฉันเป็นแม่คนแล้วเหรอ น้ำตาแตกเลยวันนั้น





คุณแม่รู้สึกยังไงบ้างที่มีหลาน ?


คุณแม่ (แอน จักรพงษ์) : ดีใจมากๆค่ะ หลานเหมือนยาอายุวัฒนะนะคะ ทำให้เราอยากจะอยู่ต่อไป ถามว่าเรารับได้ไหมที่ลูกเราเป็นแบบนี้เรารับได้นะคะ เพราะเรารู้มานานแล้วที่เขาเป็นแบบนี้ ไม่ว่าลูกเราจะเป็นยังไง เพศไหน ความห่วงใยของคนเป็นแม่ยังไงก็ห่วง แต่เขาอาจจะคิดว่าความห่วงของเราคือรับไม่ได้ แต่จริงๆแล้วลูกต้องมายิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้อยู่แล้วนะคะ