"สมเจตน์" ค้านยกร่าง รธน. ใหม่ หวั่นกลับไปเป็นสภาทาส สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวย
เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่รัฐสภา พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว. อภิปรายว่าการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าไปร่างฉบับใหม่เป็นประวัติศาสตร์ที่วนเวียนซ้ำซากไม่รู้จบสิ้น เหตุการณ์ครั้งนี้เคยเกิดในสมัยปี 2555 สมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นเรื่องทำนองเดียวกับปัจจุบัน ที่พรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลเสนอ โดยการแก้ไขครั้งนี้ผู้เสนอญัตติให้เหตุผลว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลต่อโครงสร้างสถาบันในสังคมและส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง จึงต้องแก้ไขเพื่อระงับความขัดแย้ง ตนเห็นว่า ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นยุคที่รัฐบาลกุมเสียงข้างมากได้ และแก้ไขที่มาของ ส.ว. และให้ ส.ว. เสนอแก้ไขปัญหาการยุบพรรคให้ ส.ส. เหมือนผลัดกันเกาหลัง เนื่องจากรัฐบาลกุมเสียงข้างมาก มีการรีบเร่งแก้ไขที่มาของ ส.ว. จนเกิดเหตุการวุ่นวาย ถูกประณามว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา และเมื่อมีเหตการณ์ที่ต้องร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ภาพเหตการณ์นั้นก็ยังติดตา ตอนนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเห็นร่วมกันของทุกฝ่าย และการไปตัดเงื่อนไขสำคัญที่ต้องได้รับความเห็นชอบกับ ส.ว. 1 ใน 3 และ ส.ส.ฝ่ายค้าน 20 เปอร์เซ็นต์ มันก็จะทำให้สภากลับไปเป็นสภาทาส ที่มีเผด็จการรัฐสภาเหมือนเดิม เสียงข้างมากไม่ฟังเสียงข้างน้อย หลายคนไปตำหนินายมีชัย ฤชุพันธ์ แต่ตนเห็นว่าต้องขอบคุณที่จะสร้างภาพพจน์ที่ดีของรัฐสภา ว่าแม้เสียงข้างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์ ก็สามารถยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ได้
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวต่อว่า นักการเมืองหลายคนอ้างว่าการแก้ไขโดยการเพิ่มหมวดจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เหมือนปี 2540 ที่รัฐะรรมนูญฉบับประชาชน แต่ตนเห็นว่าแนวทางที่เคยทำมาแล้วในอดีต หากจะเอามาเป็นต้นแบบปฏิบัติจะต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมือนกัน ปี 2539 สังคมมีความสามัคคี แม้จะเห็นต่างแต่ไม่แตกแยก และไม่มีคนกลุ่มใดที่มีพฤติกรรมเลวร้ายทำลายความคงอยู่ของสถาบัน ตอนนี้ประชาชนต้องกาประชาธิปไตย จึงได้รัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน และมีระบบถ่วงดุลที่เข้มแข็ง แต่เมื่อได้รัฐธรรมนูญที่ดี แต่รัฐบาลที่ไม่ดีชุดหนึ่งสร้าง 4 ปัญหา "แตกแยก แทรกแซง โกงกิน หมิ่นเจ้า" หลายคนประดิษฐ์วาทกรรมว่า ส.ว. สืบทอดอำนาจ พูดเหมือนตนเองเป็นเจ้าของประเทศเพียงผู้เดียว และสิ่งที่ตนเห็นมาคือรัฐบาลที่เชื่อมโยงกับประชาชนสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติมาอย่างยาวนาน ผลพวงรัฐธรรมนูญ 2540 จากการบริหารของรัฐบาลชุดหนึ่ง และเหตการณ์ตั้งแต่ 2547 จนถึงปัจจุบัน บ้านเมืองแตกแยก เผาบ้านเผาเมือง และทหารตำรวจเสียชีวิต มีกองกำลังติดอาวุธ ชายชุดดำ และถ้าเอาสถานการณ์ปี 2539 เอามาเทียบกับปี 2547 ถึงปัจจุบัน แตกต่างกันสิ้นเชิง ดังนั้นการจะเอาแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 มาเป็นแนวทางของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้อย่างไร
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตน ส.ว. และส.ส. บางส่วนยื่นหนังสือไปที่ศาลรัฐธรรมนูญว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลก็รับคำร้องและมีคำวินิจฉัยว่า การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับต้องลงประชามติก่อนว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ สุดท้ายรัฐสภาไม่มีการลงมติในวาระ 3 เทียบอดีตกับปัจจุบันก็เหมือนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ดังนั้นรัฐสภาเป็นองค์กรสำคัญของรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ และการยกร่างใหม่ทั้งฉบับจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรา 256 หรือไม่เพราะกำหนดให้เป็นการแก้ ไม่ใช่ยกร่างฉบับใหม่ และหากจะยกร่างฉบับใหม่ต้องทำประชามติก่อนหรือไม่ หลังเห็นชอบวาระ 3 ไปแล้ว ตนขอสรุปว่า การแก้รัฐธรรมนูญจะทำให้กลับไปเป็นสภาทาส การยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 อาจขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สถานการณ์ความแตกแยกในปัจจุบัน หลายคนมีทัศคนติเลวร้ายบั่นทอนสถาบัน ไม่เอื้อต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะจะเพิ่มความแตกแยก แก้ไขเพื่อประโยชน์ของใคร ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นหรือไม่ ประชาชนจะอยู่ดีกินดีไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่นักการเมืองจะปฏิบัติตามนิติธรรม นิติรัฐ และตนมีความเข้าใจเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างดี ตนไม่เห็นชอบญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีผลยกเลิกฉบับ 2560 และทุกมาตราเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวย