เกษตรกรหนองคายเลี้ยงปลาดุกในบ่อผ้าใบส่งขายวันละ 5 ตัน ยังไม่พอรองรับตลาด

2020-09-22 14:55:23

เกษตรกรหนองคายเลี้ยงปลาดุกในบ่อผ้าใบส่งขายวันละ 5 ตัน ยังไม่พอรองรับตลาด

Advertisement

เกษตรกรที่เลี้ยงปลาดุกในบ่อผ้าใบระบบปิดในจังหวัดหนองคาย เพิ่มบ่อเลี้ยงปลาดุกจากเดิม 52 บ่อเป็น 80 บ่อ ให้ผลผลิตสูงสุดวันละ 5 ตัน ส่งขาย 5 จังหวัดในภาคอีสานตอนบน ยังไม่พอเพียงกับความต้องการของตลาด ที่ประชาชนมีการบริโภคปลาดุกเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ในขณะที่หน่วยงานภาครัฐและจังหวัดหนองคาย สนับสนุนให้เกษตรกรเข้าไปเป็นเครือข่าย และเรียนรู้เทคโนโลยีมาปรับใช้กับการเลี้ยงปลาของตนเอง เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้

นายกฤช มิคาระเศรษฐ์ เหมะรักษ์ หรือเสี่ยออย อายุ 40 ปี เจ้าของ “ฟาร์มปลาดุกหนองคาย” เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาดุกในบ่อผ้าใบ ที่ ต.บ้านเดื่อ อ.เมือง จ.หนองคาย โดยเลี้ยงปลาดุกในบ่อผ้าใบ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร สูง 1.20 เมตร บรรจุน้ำได้ 19.46 ลบ.ม. โดยเริ่มจากการเลี้ยงทั้งหมด จำนวน 52 บ่อ ในพื้นที่ 18 ไร่ แต่ละบ่อเลี้ยงปลาดุกได้ 10,000 – 20,000 ตัว ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงตั้งแต่เริ่มต้นถึงขาย 4 เดือน ให้ผลผลิตบ่อละ 2 -3 ตัน ส่งขายใน 5 จังหวัด ภาคตะวันอออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบด้วย หนองคาย อุดรฯ หนองบัวลำภู สกลนคร และบึงกาฬ ขณะนี้หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ก็ได้มีการขยายจำนวนบ่อที่เลี้ยงเป็น 80 บ่อ สามารถให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 5 ตัน หรือเดือนละประมาณ 150 ตัน จากเดิมที่ผลิตได้วันละ 3 ตัน แต่ยังไม่พอเพียงกับความต้องการของตลาด ที่ประชาชนมีการบริโภคปลาดุกเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

ทั้งนี้เฉพาะใน จ.หนองคาย มีความต้องการบริโภคปลาดุกวันละประมาณ 8 ตัน ส่วนอีก 4 จังหวัดที่เหลือนั้น มีความต้องการบริโภคปลาดุกประมาณวันละ 32 ตัน เมื่อรวมทั้ง 5 จังหวัดแล้วพบว่ามีความต้องการบริโภคปลาดุกวันละประมาณ 40 ตัน ซึ่งถือว่าตลาดของปลาดุกยังมีรองรับอีกมาก ในขณะที่หน่วยงานภาครัฐ คือ กรมประมง โดยสำนักงานประมงจังหวัดหนองคาย และจังหวัดหนองคาย ได้จัดทำโครงการเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรเข้าไปเป็นเครือข่าย “องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น” และเข้าไปเรียนรู้เทคโนโลยีภายในฟาร์มฯ เพื่อนำไปปรับใช้กับการเลี้ยงปลาของตนเอง ซึ่งจะทำให้เกษตรกรสามารถอยู่ในเวทีของการแข่งขันและมีมาตรฐานที่สามารถจะขายปลาที่เลี้ยงทั้งในประเทศและต่างประเทศได้




นายกฤช มิคาระเศรษฐ์ เหมะรักษ์ เจ้าของ “ฟาร์มปลาดุกหนองคาย” เปิดเผยว่า ฟาร์มปลาดุกหนองคาย มีแนวคิดว่าจะเป็นต้นแบบให้กับเกษตรกรยุคเก่า ที่สามารถเปลี่ยนแนวความคิดหรือวิธีการมาเป็นนวัตกรรมที่มีอยู่แล้ว แต่มีการนำมาปรับให้เข้ากับประเทศไทย และให้เกษตรกรรุ่นใหม่หันมาผลิตโปรตีนในราคาต่ำแบบนี้ เพราะการผลิตหรือเลี้ยงปลาดุกแบบนี้จะตอบโจทย์ในเรื่องของการจัดการที่ง่าย รวมทั้งตอบโจทย์ในเรื่องของผลผลิต ทำให้ต้นทุนในการเลี้ยงต่ำ เพราะจำนวนผลผลิตมากขึ้น อัตรารอดเพิ่มมากขึ้นด้วย ทำให้สามารถเข้าไปแข่งขันในตลาดได้ ไม่มีปัญหาในเรื่องของราคา ซึ่งการผลิตปลาหรือเลี้ยงปลาวิธีการนี้เป็นการผลิตปลาที่สะอาด คือปราศจากสารเคมีและยาปฏิชีวนะ มีการผลิตขายภายในประเทศก่อนที่เหลือก็สามารถส่งออกขายต่างประเทศได้

นายกฤช เปิดเผยต่อไปอีกว่า ขณะนี้ความนิยมในการบริโภคปลาที่ปลอดภัยมีเพิ่มมากขึ้น เพราะทุกคนมีความกลัวในเรื่องของโรคภัย ส่งผลให้ยอดคนที่บริโภคปลาเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ประกอบกับขณะนี้ทางภาครัฐทั้งกรมประมง โดยสำนักงานประมงจังหวัดหนองคาย และจังหวัดหนองคาย ได้เข้ามาสนับสนุน จัดทำโครงการที่จะให้ชาวบ้านหรือเกษตรกรมาร่วมผลิตหรือส่งผลผลิตให้กับทางฟาร์มปลาดุกหนองคาย ซึ่งฟาร์มปลาดุกหนองคาย ก็จะมีการแปรรูปเพื่อส่งเข้าไปยังตลาดโมเดิร์นเทรดต่อไป ซึ่งในส่วนของฟาร์มปลาดุกหนองคายเองก็ได้มีการขยายจำนวนบ่อในการเลี้ยงปลาดุกเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีอยู่ 52 บ่อ ขณะนี้เพิ่มเป็นเกือบ 80 บ่อ สามารถผลิตได้วันละ 5 ตัน เดือนละประมาณ 150 ตัน ในพื้นที่ 18 ไร่ ในส่วนของตลาดนั้นยังเป็นตลาดในพื้นที่เดิมคือ 5 จังหวัด อีสานตอนบน ประกอบด้วย หนองคาย อุดรฯ หนองบัวลำภู สกลนคร และบึงกาฬ ซึ่งประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวปกติก็มีการบริโภคปลาอยู่แล้วก็ได้หันมาบริโภคปลาดุกจากฟาร์มของเรา เนื่องจากปลาที่เลี้ยงจากฟาร์มของเราไม่มีสารเร่งเหลืองและที่สำคัญไม่มีกลิ่นคาว คุณภาพของเนื้อปลาก็มีคุณภาพที่ดี



เจ้าของ “ฟาร์มปลาดุกหนองคาย” เปิดเผยเกี่ยวกับการจะยกระดับเนื้อปลาดุกที่เลี้ยงให้เป็นข้าวหน้าปลาดุกเช่นเดียวกันที่ตอนนี้มีข้าวหน้าปลาไหลว่าขณะนี้เนื้อปลาดุกที่เลี้ยงในฟาร์มตอบโจทย์อาหารญี่ปุ่นคือ ด้วยลักษณะและรสชาติของเนื้อปลาสามารถนำไปปรับเปลี่ยนเป็นอาหารญี่ปุ่นแทนข้าวหน้าปลาไหลได้ คือต่อไปจะเป็นข้าวหน้าปลาดุก เนื่องจากมีรสชาติและคุณภาพเดียวกัน ซึ่งทางบริษัทเจริญโภคภัณฑ์และสถาบันอาหารที่มีทีมวิจัย ได้นำเนื้อปลาจากฟาร์มได้ทำการทดสอบ และทดลองทำอาหารในหลากหลายเมนูแล้ว น่าจะมีข่าวดีในไม่ช้านี้

ในส่วนที่จะให้เกษตรกรเป็นเครือข่ายนั้นจะอยู่ในขั้นตอนใดนั้น เจ้าของ “ฟาร์มปลาดุกหนองคาย” เปิดเผยว่าเกษตรกรสามารถเข้ามาเป็นเครือข่ายได้ตั้งแต่ช่วงอนุบาลก่อนที่จะนำมาเลี้ยงในบ่อผ้าใบ ซึ่งช่วงอนุบาลจะมีระยะเวลาประมาณ 2 เดือนครึ่ง ขณะนี้ทางฟาร์มมีความต้องการปลาที่ผ่านการอนุบาลแล้วเดือนละ 1.5 – 2 ล้านตัว ซึ่งในเรื่องของการตลาดของปลาดุกนั้น เป็นปลาที่ทำตลาดได้ง่ายมาก เพราะปกติแล้วคนไทยทุกคนรู้จักปลาดุกและรับประทานปลาดุก บางคนไม่ชอบรับประทานปลาดุกเนื่องมาจากฝังใจในการเลี้ยงและให้อาหารแบบเก่า หลังจากที่มีการเลี้ยงแบบใหม่นี้คนที่ไม่ชอบรับประทานปลาดุกได้มาลองรับประทานดุก ก็กลับมารับประทานปลาดุก เนื่องจากไม่มีกลิ่นคาวเหมือนแบบเดิม ซึ่งในเรื่องของการตลาดในการขายปลาดุกต่อไปก็นับวันจะง่ายยิ่งขึ้นเพราะทุกคนรู้จักปลาดุกอยู่แล้ว แค่เปลี่ยนวิธีเลี้ยงมาเลี้ยงแบบใหม่นี้ หากเลี้ยงจนมีปริมาณมากจนเหลือจากการบริโภคในประเทศ ก็สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ เพราะการเลี้ยงแบบใหม่นี้ตอบโจทย์สำหรับการส่งออกไปยังต่างประเทศได้อยู่แล้ว