“ช่อ” ชี้การยุบ “อนาคตใหม่” ไม่ใช่เรื่องเดียวจุดกระแสชุมนุมทั่วประเทศแต่เป็นหนึ่งในฟางเส้นสุดท้าย
เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ได้ร่วมวงเสวนาในหัวข้อ Parliamentarians at Risk: Reprisals against opposition MPs in Southeast Asia (เมื่อผู้แทนกลายเป็นกลุ่มเสี่ยง: ปรากฏการณ์การคุกคามสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า การยุบพรรคอนาคตใหม่โดยศาลรัฐธรรมนูญหลังจากนั้น ได้ส่งผลให้เกิดการถอดถอนนักการเมือง 11 คนออกจากสถานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทันที ส่งผลให้ ส.ส.10 คนย้ายข้างทางการเมือง และสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ถูกตัดลงไป และที่สำคัญเสียงของประชาชนที่เลือกเรามา 6.3 ล้านเสียงหายไปในทันที ซึ่งจนถึงวันนี้ผู้มีอำนาจยังตอบคำถามเรื่องนี้กับประชาชนไม่ได้เลย ว่าการที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ประชาชนเลือกมาถูกยุบไปเพียงเพราะหัวหน้าพรรคให้พรรคกู้เงิน ทั้งๆที่ไม่มีกฎหมายห้ามไว้ เป็นเรื่องที่ยุติธรรมอย่างไร นี่คือความไม่ยุติธรรมอย่างชัดเจน ประชาชนต่างตั้งคำถามถึงความยุติธรรม จนตามมาด้วยกระแสความเคลื่อนไหวชุมนุมที่เกิดขึ้นทั่วประเทศหลังจากนั้น แต่ประชาชนไม่ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจเพราะพวกเขาอยากให้เราเป็น ส.ส. แต่เพราะพวกเขาเห็นว่านี่คือความไม่ยุติธรรม พวกเขาได้เห็นประเทศนี้ยุบพรรคการเมืองไปหลายสิบพรรคแล้ว จนพวกเขาก็รู้สึกว่ามันต้องพอได้แล้ว
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่าอ ตนอยากให้ทุกคนทำความเข้าใจว่าเราไม่ใช่สาเหตุหลักสาเหตุเดียวที่ทำให้กระแสการชุมนุมในวันนี้เกิดขึ้น แต่การยุบพรรคอนาคตใหม่และการตัดสิทธิทางการเมืองของเราเป็นเพียงฟางเส้นสุดท้าย ประชาชนไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้นได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ประชาชนไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่เคยไปถึงเป้าหมายประชาธิปไตยทั้งๆที่เราเริ่มต้นมาแล้วถึง 88 ปี
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนี้แม้แต่นักเรียนมัธยม นักศึกษามหาวิทยาลัย กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือกระทั่งนักกิจกรรมในสามจังหวัดชายแดนใต้ก็ออกมาเคลื่อนไหวแล้วโดยไม่สนใจอีกแล้วว่ามี พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่ พวกเขาออกมาประท้วงบนถนนเพื่อเรียกร้องประเทศไทยที่ดีกว่านี้ และการปฏิรูปที่แท้จริง