“สหายบอย” พบ ตร. ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

2020-08-31 17:50:02

“สหายบอย” พบ ตร. ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

Advertisement

"สหายบอย" แกนนำแนวร่วมนิสิต มมส เพื่อประชาธิปไตยมหาสารคาม พบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ในข้อหาร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมในสถานที่แออัด หรือในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยังคงเรียกร้อง 4 ข้อ คือ ให้ยุติบทบาทของ ส.ว. ทั้ง 250 คน ให้มีการยุบสภา ประกาศใช้ รธน.ปี 40 เป็นการชั่วคราว ในการจัดตั้ง สสร. เพื่อรับฟังเสียง ประชาชน

วันที่ 31 ส.ค. ที่สถานีตำรวจภูธรเขวาใหญ่ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม นายพงศธรณ์ แกนนำแนวร่วมนิสิต มมส เพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยทนายความจากศูนย์สิทธิมนุษยชน อาจารย์จากวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ส.ส.พรรคก้าวไกล อดีตผู้สมัคร ส.ส.มหาสารคามเขต 2 นายอานนท์ นำภา ทนายความและนักสิทธิมนุษยชน และเพื่อนนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม รวมกว่า 50 คน เดินทางมาร่วมให้กำลังใจที่หน้า สภ.เขวาใหญ่ ก่อนที่นายพงศธรณ์ ฉายา “สหายบอย” ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ในข้อหาร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมในสถานที่แออัด หรือในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค (ข้อกำหนด มาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (ฉบับที่ 5) ข้อ 2(2) และร่วมกันกระทำการหรือดำเนินการใด ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคแพร่ระบาด

ทั้งนี้ก่อนที่จะเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก นายพงศธรณ์ หรือ สหายบอย แกนนำกลุ่มนิสิต มมส เพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นกล่าวความรู้สึกว่า ในวันนี้ได้มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ซึ่งหมายดังกล่าวเป็นการอ้างถึงการชุมนุมอีสานสิบ่ทน เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา ที่ลานแปดเหลี่ยม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งตนประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่ว่าจะยัดคดีให้มากน้อยแค่ไหนก็จะสู้ต่อไป ตามกระบวนการจะไม่มีการถอยแม้แต่ก้าวเดียว วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เราจะประกาศศึกกับรัฐไปด้วยกัน ซึ่งตนมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองคิดว่าเป็นคดีที่ไร้สาระ ในการชุมนุมอีสานสิบ่ทน เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนไม่ได้ทำผิดอะไรและ ศบค. ก็อ้างแล้วว่าจะไม่นำ พรก.ฉุกเฉิน เข้ามาใช้กับคดีทางการเมืองหรือการยับยั้งการชุมนุม แต่กลับใช้คดีฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน และยังใช้เรื่องของ พรบ.ควบคุมโรค มาคุกคามตน ซึ่งมองว่า 1 เดือนที่ผ่านมาไม่มีใครติดโรค ไม่มีใครเป็นโควิด และสถานที่ที่จัดก็ไม่ได้แออัด นี่คือ การยัดคดีทางการเมือง นี่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีประชาชน ตนยอมรับไม่ได้ และตนประกาศอย่างชัดเจนว่า คดีนี้จะสู้ให้ถึงที่สุดแล้วไม่ว่าจะเกิดคดีอะไรขึ้นมาอีก 2- 3- 4 คดี ตนเองก็จะสู้ต่อไป เคียงข้างพี่น้องประชาชน จนกว่าเราจะได้ประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์ ประชาธิปไตยที่มีประชาชนมีส่วนร่วม สถาปนาอำนาจของประชาชนไปพร้อม ๆ กัน




จากนั้นนายพงศ์ธร และทนาย ตลอดจนอาจารย์จากวิทยาลัยการเมืองการปกครองที่ใกล้ชิด เข้าพบพนักงานสอบสวน ก่อนที่จะออกมาเมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. เมื่อออกมาจากห้องสอบสวน ได้มีการพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชน เบื้องต้น นายพงศธรณ์ ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยังคงเรียกร้อง 4 ข้อ คือ ให้ยุติบทบาทของ ส.ว. ทั้ง 250 คน ให้มีการยุบสภา ประกาศใช้ รธน.ปี 40 เป็นการชั่วคราว ในการจัดตั้ง สสร. เพื่อรับฟังเสียง ประชาชนทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีประชาชนเป็นส่วนร่วมอย่างแท้จริง เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งเป็นธรรมและโปร่งใส ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ ไม่เหมือน รธน. ปี 60 และการจัดตั้ง สสร. เพื่อรวบรวมความเห็นจากพี่น้องทุกภาคส่วนทั่วประเทศได้มีส่วนร่วมในการสร้างฉันทามติฉบับใหม่ นั่นคือ รัฐธรรมนูญที่มาจากเสียงของประชาชนอย่างแท้จริงที่ไม่ได้มาจากเสียงคณะบุคคล เป็นแค่กลุ่มบุคคลบุคคลเดียว จากนี้จะยกระดับการชุมนุมออกไปเรื่อย ๆ จากนั้นพงศธรณ์ได้ฉีกหมายเรียกของตำรวจออก ทิ้งลงพื้นและใช้เท้าเหยียบก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ