"บิ๊กตู่"ยันไทยพร้อมเป็นฐานผลิตวัคซีนสู้โควิด-19

2020-08-24 11:45:59

"บิ๊กตู่"ยันไทยพร้อมเป็นฐานผลิตวัคซีนสู้โควิด-19

Advertisement

"บิ๊กตู่" ย้ำสนับสนุนกรอบความร่วมมือ "แม่โขง-ล้านช้าง" ยันพร้อมพัฒนาประเทศไทย ให้เป็นฐานผลิตวัคซีนสู้โควิด

เมื่อวันที่ 24 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 (Mekong-Lancang Cooperation: MLC) ผ่านระบบการประชุมทางไกลซึ่งมีผู้นำ 6 ประเทศสมาชิกเข้าร่วม โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้ ในช่วงแรกของการประชุม นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีลาว ในฐานะประธานร่วม กล่าวเปิดงานโดยมีใจความสำคัญ ว่า นายกรัฐมนตรีลาว รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นประธานร่วมในการประชุมนี้ พร้อมขอบคุณความช่วยเหลือระหว่างกันในช่วงโควิด-19 และชื่นชมมาตรการป้องกัน รวมทั้งการควบคุมโรคของทุกประเทศ ซึ่งเชื่อมั่นว่า กรอบ MLC จะช่วยส่งเสริมความรุ่งเรืองในอนุภูมิภาค พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมท่ามกลางความท้าทาย และร่วมกันปรับตัวเพื่อฟื้นฟูภายหลังช่วงโควิด-19

จากนั้นนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ในฐานะประธานร่วมอีกท่าน กล่าวว่า ขอบคุณความร่วมมือของผู้นำทุกประเทศ ความร่วมมือ MLC เกิดจากความช่วยเหลือเรื่องความร่วมมือกันผ่านแหล่งน้ำ อนุภูมิภาคนี้จึงควรร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการเชื่อมโยงทางการค้า แม้จะประสบกับความท้าทายจากไวรัสโควิด-19 แต่ความร่วมมือยังดำเนินต่อ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป




ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีไทย ได้แสดงความยินดี และชื่นชมที่กรอบ MLC มีพัฒนาการและมีความร่วมมือเพิ่มขึ้นตามลำดับ แม้การประชุมครั้งนี้จะเป็นการหารือผ่านระบบทางไกล แต่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายที่จะสานต่อความร่วมมือในสภาวะที่ทุกประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 และถือเป็นอีกวาระหนึ่งที่จะร่วมกันพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสที่จะยกระดับความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน พร้อมเชื่อมั่นว่าปฏิญญาเวียงจันทน์ จะช่วยเน้นย้ำเจตนารมณ์ร่วมของประเทศสมาชิก ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกองทุนพิเศษในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซี่งไทยได้รับอนุมัติทั้งหมด 10 โครงการในปีนี้

พล.อ.ประยุทธ์ ยังเน้นย้ำถึงสาขาความร่วมมือที่ประเทศไทย ให้ความสำคัญและมีความพร้อมรวมทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ 1. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยประเทศไทยสนับสนุนข้อริเริ่มในการติดตามและประเมินผลความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำ ทั้งในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ การขยายความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำโขง เพื่อให้พัฒนาร่วมกับประสบการณ์และรูปแบบการดำเนินการที่ดีของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission - MRC) รวมทั้งสนับสนุนให้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านทรัพยากรน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ความร่วมมือก้าวหน้าให้เห็นผลโดยเร็ว



2. ความมั่นคงด้านสาธารณสุข ไทยได้รับการยอมรับว่าจัดการและควบคุมสถานการณ์โควิด-19 เป็นผลจากความร่วมมือของประชาชน และนโยบายด้านสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญกับความพร้อมของบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ ความสามารถในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและยา ตลอดจนความพร้อมเมื่อเจอภาวะวิกฤต ซึ่งไทยพร้อมให้ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนกับนานาชาติภายใต้กรอบ WHO โดยจะเร่งพัฒนาขีดความสามารถของไทย ในการเป็นฐานการผลิตยาและวัคซีนของอนุภูมิภาค รวมทั้งเห็นพ้องกับประเทศสมาชิกว่า เมื่อผลิตวัคซีนสำเร็จประชาชนทุกภาคส่วนควรจะสามารถเข้าถึงได้

3. ยกระดับความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค ผ่านความร่วมมือในทุกมิติ ทั้งกายภาพ กฎระเบียบ และประชาชน ซึ่งไทยยินดีที่จะเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ โดยต้องคำนึงถึงความสมดุลและความมั่นคงทางสาธารณสุขควบคู่กัน โดยเฉพาะด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ พลังงาน ดิจิทัล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่ที่ห่างไกลจากระเบียงเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง รวมไปถึงการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น อาเซียน ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (BRI) เป็นต้น

4. การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 (Post Covid-19 Economic Recovery) เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่จะเป็นการวางรากฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนคือการสร้าง ความยืดหยุ่น (Resilience) ให้ภาคเอกชน ผ่านการสนับสนุนภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และรายย่อย (MSMEs) พร้อมช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศสมาชิก และสนับสนุนให้ประเทศใน MLC ร่วมกันกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ทั้งการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และการไปมาหาสู่ของประชาชน โดยคำนึงถึงความสมดุลกับความมั่นคงด้านสาธารณสุข



ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการร่วมแสดงเจตจำนง และความแน่วแน่ร่วมกันของประเทศสมาชิกที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายต่าง ๆ โดยเปลี่ยนวิกฤตที่ทุกประเทศกำลังเผชิญอยู่ ให้เป็นโอกาสในการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด สร้างสรรค์ และต่อเนื่อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโต เสถียรภาพ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเพื่อการพัฒนาและความมั่งคั่งของพลเมือง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง