"ปิยบุตร"ยก 10 ข้อเรียกร้อง"ธรรมศาสตร์"ปัดละเมิดสถาบัน

2020-08-13 16:10:38

"ปิยบุตร"ยก 10 ข้อเรียกร้อง"ธรรมศาสตร์"ปัดละเมิดสถาบัน

Advertisement

"ปิยบุตร" ยืนยัน 10 ข้อเรียกร้อง "ธรรมศาสตร์จะไม่ทน" คือข้อเท็จจริง ไร้ส่วนเกี่ยวข้องละเมิด "สถาบัน"

เมื่อวันที่ 13 ส.ค. นายปิยะบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล" ระบุว่า จดหมายเปิดผนึกกรณี 10 สิงหาคม หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 7 คนไม่ทำให้ตนพ้นจากการเป็นผู้แทนราษฎร ตนตั้งใจจะอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้แทนของราษฎร เกี่ยวกับกรณีการแสดงออกของนักศึกษาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อไม่มีโอกาสอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จึงขอใช้วิธีการเขียนเป็นจดหมายเปิดผนึกแทน ตนใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่ปี 2540 จบการศึกษาปริญญาตรีปี 2544 และเข้ารับราชการเป็นอาจารย์ประจำต่อ จากนั้นลาไปศึกษาต่อต่างประเทศจนจบการศึกษาปริญญาเอก กลับมาสอนหนังสือจนถึงสิงหาคม 2561 ก็ได้ลาออกจากราชการ เพื่อมาก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.

เลขาธิการคณะก้าวหน้า ระบุอีกว่า รวมเวลาใช้ชีวิตอยู่ในธรรมศาสตร์ 21 ปี มีโอกาสคลุกคลีกับนักศึกษามากกว่าทศวรรษ ทำให้ผมรู้จักกับพลังและความกระตือรือร้นของพวกเขาเป็นอย่างดี ช่วงวัยของนักเรียน นิสิต นักศึกษา คือ ช่วงวัยแห่งความพลุ่งพล่าน ช่วงวัยแห่งแห่งความต้องการต่อต้านไม่รับสิ่งที่มีอยู่เดิม ช่วงวัยแห่งความต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ จิตวิญญาณของความเป็นขบถของเยาวชนคนรุ่นใหม่ คือ สิ่งดีงาม และเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เราไม่ควรนำกฎระเบียบความเชื่อ ทั้งที่ปรากฏในรูป “กฎหมาย” และ “ธรรมเนียม” ไปกีดขวางพวกเขา แต่เราควรทำความเข้าใจถึงความปรารถนาของพวกเขา พูดคุยกันฉันมิตรดังเพื่อนร่วมชาติ ต้องไม่ลืมว่าโลกมนุษย์อยู่มาได้จนทุกวันนี้ ก็เพราะ ความก้าวหน้า หากทุกสิ่งทุกอย่างเป็นดังเดิม หากไม่มีการต่อต้านขัดขืนสิ่งที่เป็นอยู่ หากทุกคนยอมตามสิ่งเดิมหมด สิ่งใหม่ๆ ย่อมไม่เกิดขึ้น




นายปิยะบุตร ยังระบุเพิ่มเติม ว่า เทคโนโลยีทันสมัย วิทยาศาสตร์ นวัตกรรม สิทธิมนุษยชน ระบบเศรษฐกิจ ระบบการปกครอง ที่พวกเราใช้กันอยู่ ต่างก็เกิดจากการยืนกรานต่อสู้กับสิ่งเดิม แล้วเปลี่ยนให้เป็นสิ่งใหม่ที่ก้าวหน้าขึ้นทั้งนั้น นักเรียน นิสิต นักศึกษา เยาวชน เขาต้องอยู่ในโลกนี้อีกนาน เขาจึงมีความชอบธรรมที่จะส่งเสียงเรียกร้อง และกำหนดอนาคตของสังคมที่เขาต้องอยู่ได้ พวกเขา คือ อนาคตของชาติ สังคมใดที่คนรวมหัวกันฆ่าอนาคตของชาติ สังคมนั้นย่อมไม่มีอนาคต ข้อเสนอ 10 ข้อจากเวทีการชุมนุมธรรมศาสตร์จะไม่ทน ในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 คือ ความจริง กลั่นกรองออกจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสังคมไทยมาหลายทศวรรษ มันอาจเป็น “ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจ” ของใครบางคน บางกลุ่ม


เลขาธิการคณะก้าวหน้า ระบุอีกว่า แต่ถ้าพวกท่านพอจะซื่อสัตย์กับตนเองอยู่บ้าง ไม่โกหกตนเอง พวกท่านคงต้องยอมรับว่า ในช่วงชีวิตของพวกท่าน ท่านต่างก็เคยคิดถึงประเด็นปัญหาเหล่านี้กันทั้งนั้น นี่ไม่ต้องนับรวมว่า พวกท่านต่างก็เคยซุบซิบนินทากันกันในวงข้าว วงเหล้า วงสังคมอันสูงส่งของพวกท่านกันมาไม่มากก็น้อย พวกท่านอาจไม่สบายใจกับรูปแบบเวทีการชุมนุม การแสดงออกบางอย่างบนเวทีชุมนุม พวกท่านอาจโกรธกับท่าทีหรือน้ำเสียงของผู้ปราศรัย พวกท่านอาจตะขิดตะขวงใจว่าทำไมต้องพูดเรื่องเหล่านี้บนเวทีชุมนุม ทำไมไม่คุยกัน “หลังบ้าน” หรืออย่างน้อยก็ในเวทีวิชาการ นั่นเป็นเพียง “รูปแบบ” ซึ่งอาจเห็นต่างกัน อาจแจ้งเตือนกัน อาจขอความร่วมมือกันในฐานะผู้ผ่านประสบการณ์มาก่อน แต่ไม่ควรนำมากลบข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่จริง และยิ่งไม่ควรบิดเบือนให้พวกเขากลายเป็นพวก “ล้มเจ้า” หรือ “ชังชาติ” หรือ “ถูกล้างสมอง”


นายปิยะบุตร เน้นย้ำว่า ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อของพวกเขา ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนรูปแบบของรัฐ ประเทศไทยยังคงเป็นราชอาณาจักร มีพระมหาษัตริย์เป็นประมุขของรัฐสืบทอดทางสายโลหิต เช่นเดิม ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อของพวกเขา ไม่มีตรงไหนที่กระทบถึงการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย ตรงกันข้าม ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อของพวกเขา คือ การนำสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าสำคัญอย่างยิ่งยวดขึ้นมาพูดคุยอย่างเปิดเผย จริงใจ ตรงไปตรงมา ทั้งหมดก็เพื่อธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สอดคล้องกับประชาธิปไตย การผลักไสให้พวกเขาเป็นพวก “ล้มเจ้า” “ชังชาติ” ก็ดี การใช้ “กฎหมาย” เป็นเครื่องมือเพื่อ “ปิดปาก” พวกเขา ก็ดี การประดิษฐ์สร้างให้พวกเขาเป็น “วายร้าย” หรือ “ศัตรูของรัฐ” ก็ดี ทั้งหมดนี้ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ รังแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม วิธีการเหล่านี้ไม่สามารถตัดไฟแต่ต้นลมได้ แต่มันจะกลายเป็นชนวนจุดไฟให้ลามทุ่ง




เลขาธิการคณะก้าวหน้า ระบุต่อว่า เลขาธิการคณะก้าวหน้า ยังยืนยันว่า ตลอดเวลาตั้งแต่สมัยเป็นนักวิชาการจนกระทั่งมาเป็นนักการเมือง ประเทศไทย เป็นราชอาณาจักร ปกครองในระบอบประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ นั่นคือ Kingdom + Democracy + Parliamentarism = Constitutional Monarchy โดยหลักการทั้งสาม อันได้แก่ 1.ความเป็นราชอาณาจักรที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสืบทอดทางสายโลหิต 2.หลักการประชาธิปไตยที่ยืนยันให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน และแสดงออกทางตรงโดยการประชามติ หรือแสดงออกผ่านทางองค์กรของรัฐ ได้แก่ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล 3.ระบบรัฐสภา สมาชิกสภามาจากการเลือกตั้งของประชาชน และรัฐบาลมาจากความเห็นชอบของสภา เมื่อผสมผสานหลักการทั้งสามนี้เข้าไว้ด้วยกัน ก็ออกมาเป็นการปกครองที่ชื่อว่า Constitutional Monarchy


นายปิยะบุตร ระบุเพิ่มเติมว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีพัฒนาการตามยุคสมัย บางช่วงบางเวลา สถาบันหนึ่งอาจมีอำนาจมากกว่าสถาบันหนึ่ง บางช่วงบางเวลา เพดานสูง บางช่วงบางเวลา เพดานต่ำ นั่นก็เป็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ตามบริบท ข้อเท็จจริง ดังนั้นการพูดคุยถึงสถาบันต่างๆในรัฐธรรมนูญ เพื่อปรุงแต่งผสมผสานให้ออกเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จึงเป็นเรื่องปกติดังที่เราเคยพบเห็นการอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในอดีต ดังที่เราเคยพบเห็นการจัดเสวนาทางวิชาการในอดีต มนุษย์เราเมื่อถูกล่ามโซ่ตรวนไว้อยู่ในถ้ำมืดมิดเป็นเวลานาน ก็อาจคุ้นชิน จนเมื่อปลดโซ่ตรวนแล้วเดินออกจากถ้ำ ไปพบแสงสว่างเข้า ก็อาจทรมานเจ็บปวดตาอยู่บ้าง แต่หากยอมรับว่านี่คือความจริงแล้วอยู่กับมันให้ได้ ปรับเปลี่ยนตนเองให้สอดรับกับความจริง ก็จะกลับสู่ภาวะปกติ กาลเวลาหมุนเดินหน้ามาสู่ศตวรรษที่ 21 เราฝืนกฎธรรมชาติไม่ได้ สังคมก้าวรุดหน้าไปตามกาลสมัย การทวนเข็มนาฬิกาให้กลับไปที่เดิม สุดท้ายเข็มนาฬิกานั้นก็เดินหน้ากลับมาใหม่อยู่ดี


เลขาธิการคณะก้าวหน้า ระบุทิ้งท้ายว่า ในห้วงยามหัวต่อหัวเลี้ยวเช่นนี้มีแต่ประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดำรงอยู่ในสังคมไทยอย่างทรงพระเกียรติยศ อย่างมั่นคงสถาพร เป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นมิ่งขวัญแก่อาณาประชาราษฎร์ มีประชาธิปไตยเป็นตัวตั้งพื้นฐาน เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ร่วมมือกันเถอะครับทั้งนักเรียน นิสิต นักศึกษา เยาวชน และผู้อาวุโสที่ผ่านประสบการณ์มามาก ทั้งประชาชนหาเช้ากินค่ำ และเศรษฐีผู้มั่งมี ทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และนักการเมือง ทั้งนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ทั้ง ส.ส.และ ส.ว. ทั้งชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษ์นิยม และฝ่ายก้าวหน้า ทั้งหมดทุกคน เราต่างก็เป็นประชาชนคนไทยผู้อยู่อาศัยในผืนแผ่นดินนี้ด้วยกัน ต่อให้เราเห็นต่างกัน ไม่ชอบกัน เกลียดขี้หน้ากัน แต่เราก็หนีกันไม่พ้น อย่างไรเสีย เราก็เป็นเพื่อนร่วมชาติ และไม่มีใครรักชาติมากน้อยไปกว่ากัน ยังพอมีเวลาและโอกาส อย่าทำให้สถานการณ์เลื่อนไถลไปรุนแรงจนไม่มีใครควบคุมหรือคาดคิดได้ ร่วมมือกันทุกฝักฝ่ายเถอะครับ เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย และธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์