ซูเปอร์โพล ชี้ปัญหาการเมืองจ่อรุนแรง-ลุกลามบานปลาย

2020-08-09 13:45:12

ซูเปอร์โพล ชี้ปัญหาการเมืองจ่อรุนแรง-ลุกลามบานปลาย

Advertisement

"ซูเปอร์โพล" ชี้ "ปัญหาการเมือง" จ่อ "รุนแรง-ลุกลามบานปลาย" เหตุประชาชนไม่ยอมรับปมทุจริต-คอรัปชั่น



เมื่อวันที่ 9 ส.ค. นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง อารมณ์ประชาชน กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ผ่านเสียงประชาชนในโลกโซเชียลด้วยระบบ Net Super Poll จำนวน 16,099 ตัวอย่างในโลกโซเชียล และเสียงประชาชนในสังคมดั้งเดิม จำนวน 2,459 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 5-8 ส.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 81.6 ระบุว่า ปัญหาการเมืองจะรุนแรงและลุกลามบานปลาย รองลงมาร้อยละ 18.4 ระบุว่า ไม่รุนแรง ขณะที่เดียวกันประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 87.9 ระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจจะรุนแรงลุกลามบานปลาย มีคนตกงานเพิ่มขึ้น รองลงมาร้อยละ 12.1 ระบุว่า ไม่รุนแรง ที่น่าเป็นห่วง คือ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 62.2 ระบุว่า ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นอยู่ในระดับรุนแรง รองลงมาร้อยละ 37.8 ระบุว่า ไม่รุนแรง นอกจากนี้ผลผลสำรวจซึ่งก่ำกึ่งกัน คือ ประชาชนร้อยละ 49.1 ระบุว่าอดทน ยอมรับได้ต่อปัญหาทุจริตคอรัปชั่นถ้าตนเองได้ประโยชน์ รองลงมาร้อยละ 50.9 ระบุว่า ไม่ทนต่อปัญหาทุจริตคอรัปชั่น แม้ตนเองจะได้ประโยชน์ก็ตาม



นายนพดล กล่าวว่า ผลการสำรวจจากเสียงประชาชนในโลกโซเชียล พบประชาชนมีความเคลื่อนไหวในลักษณะเป็นลูกคลื่น คือ มีการรับช่วงต่อเป็นทอดๆ ของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยผู้ก่อการข้อความการเมืองมักเป็นพวกนินจาที่จัดอยู่ในกลุ่ม Influencer ระดับคะแนนแค่ 1 จากคะแนนเต็ม10 มีคนติดตาม (Follower) ประมาณ 20 คนเท่านั้น จากนั้นแกนนำ นักเคลื่อนไหวการเมืองจะนำข้อความการเมืองมาพูดซ้ำแล้วได้รับการพาดหัวข่าวแพร่สะพัดกระจายเป็นไวรัล (viral) ซึ่งกลายเป็นคลื่นอารมณ์ของประชาชนก้อนโตในโลกโซเชียล ยกตัวอย่างวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา มีผู้ใช้นามแฝง ปล่อยข้อความการเมืองเข้าสู่โลกโซเชียล ว่า ถ้าไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส ใครก่อขบฐกับรัฐบาลคนนั้นคือวีรบุรุษ ให้สังเกตคำว่า ขบฐ จงใจเขียนถูกเขียนผิดหรือไม่ และตอนนั้นไม่แรงเป็นแค่หลักหน่วย ต่อมาในวันที่ 17 ก.ค. ได้ปล่อยข้อความเดียวกันออกมาอีกครั้ง โดยมีเครือข่ายตอบรับเพิ่มอีกเล็กน้อยแต่ต่อมากลายเป็นไวรัล (viral) ในวันที่ 7 ส.ค.ขึ้นสู่หลักล้าน

นายนพดล กล่าวอีกว่า ที่น่าพิจารณา คือ คลื่นอารมณ์ของประชาชนในโลกโซเชียลที่ก่อตัวขึ้นต่างวันและห้วงเวลาแบบกระจัดกระจาย กำลังมารวมตัวกันในห้วงเวลาเดียวกันเป็นก้อนใหญ่ระหว่างวันที่ 6 ส.ค.เป็นต้นไป และมีศักยภาพจะกลายเป็นสึนามิ ได้อย่างน่ากลัวถ้ามีการเชื่อมโยงกันระหว่างอารมณ์ประชาชนในโลกโซเชียลกับโลกความเป็นจริงตามยุทธการ (Online-Onground) โดยแต่ละข้อความการเมืองมีช่องทางในการสื่อแตกต่างกัน ในการศึกษาครั้งนี้พบข้อความว่า คณะประชาชนปลดแอก ใช้ทวิตเตอร์ร้อยละ 57.2 น้อยกว่าข้อความอื่นๆ เช่น ข้อความที่ว่า เยาวชนปลดแอก ใช้ทวิตเตอร์ร้อยละ 91.3 โดยข้อความ คณะประชาชนปลดแอก หันไปใช้สำนักข่าวต่างๆ มากถึงร้อยละ 20 แต่ถ้าข้อความที่ว่า ให้มันจบที่รุ่นเรา จะใช้อินสตาแกรม ร้อยละ 13.6 และใช้ทวิตเตอร์ร้อยละ 79.8 ขณะที่ข้อความการเมืองที่ว่า ถ้าไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส ได้ใช้ทวิตเตอร์ร้อยละ 85.2 และใช้วิดีโอ ร้อยละ 8.8 ตามด้วย ข่าวร้อยละ 4 เป็นต้น



ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวเพิ่มเติม ว่า อารมณ์ประชาชนกำลังปรับทิศทางเข้าหากัน โดยเริ่มจากอารมณ์ประชาชนในโลกโซเชียลแล้วเริ่มลุกลามไปนอกโลกโซเชียล ก็จะทำให้เกิดคลื่นมวลประชาชนออกมาแสดงตนต่อปัญหาทางการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาทุจริตคอรัปชั่นที่ประชาชนครึ่งหนึ่งจะไม่ทนต่อปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ จากการย้อนดูข้อมูลในช่วงเวลาสอง-สามเดือนที่ผ่านมา พบว่า ก้อนคลื่นอารมณ์ประชาชนที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งรัฐบาลเป็นผู้ก่อจากการแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยกดดันให้กลุ่มสี่กุมารลาออกในลักษณะเสร็จนาฆ่าโคถึก ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ทำให้เกิดก้อนคลื่นอารมณ์ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับความวุ่นวายภายของรัฐบาลในขณะที่ประชาชนกำลังทุกข์ยากเดือดร้อน จึงรวมตัวกับก้อนคลื่นอารมณ์ประชาชนที่อยู่ในโลกโซเชียลที่นำโดยม็อบเยาวชนปลดแอก และคณะประชาชนปลดแอก ที่กำลังนำไปสู่สถานกาณ์ที่เปราะบางของบ้านเมืองในอนาคตอันใกล้จนยากจะหาทางออกได้ในเวลานี้ ทางแก้อยู่ที่ข้อมูลของคนมีอำนาจว่าจะแม่นยำถูกต้อง ครอบคลุม และทันเวลาหรือไม่ และอยู่ที่ผู้มีอำนาจจะให้เกิดปฏิบัติการอะไรออกมาที่ตรงเป้าความต้องการโดยไม่ฝืนอารมณ์ประชาชนได้หรือไม่