รัฐวิกตอเรีย ของออสเตรเลีย ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และบังคับใช้มาตรการล็อคดาวน์ครั้งใหม่ หลังจากตัวเลขติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มอีกรอบ โดยนายแดเนียล แอนดรูว์ส นายกรัฐมนตรีรัฐวิกตอเรีย แถลงว่า มาตรการคุมเข้มมีผลบังคับใช้ไปแล้วในเวลา 18.00 น.ของวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น
ภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่นี้ ประชาชนในเมืองเมลเบิร์น เมืองเอกของรัฐ จะต้องยู่ภายใต้เคอร์ฟิวตอนกลางคืนตั้งแต่เวลา 20.00 น. ถึง 05.00 น.จากวันอาทิตย์เป็นต้นไป นอกจากนี้ คำสั่งพักอยู่ที่บ้าน หรือ stay-at-home จะถูกขยายออกไป จะมียกเว้นให้ประชาชนออกจากบ้านได้เป็นกรณีพิเศษเท่านั้น เช่นไปทำงาน หรือไปโรงพยาบาล, ประชาชนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเกินกว่า 5 กิโลเมตรจากบ้านตัวเอง, การออกกำลังกายถูกจำกัดวันละครั้งเท่านั้น และอนุญาตให้คนเดียวเท่านั้นออกไปซื้อสินค้าจำเป็นในแต่ละครั้ง ส่วนนักเรียนนักศึกษาทั่วทั้งรัฐ จะต้องกลับไปเรียนอยู่ที่บ้าน และศูนย์รับเลี้ยงเด็กก็ต้องปิด
ทั้งนี้ หลังจากประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้ในการควบคุมการระบาดของไวรัส ออสเตรเลียมีผู้ติดเชื้อน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ มาก โดยมีผู้ติดเชื้อประมาณ 17,000 คน และเสียชีวิต 200 คน แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรัฐวิกตอเรีย ซึ่งก็ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในออสเตรเลียเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ กระตุ้นให้ต้องกลับไปใช้มาตรการล็อคดาวน์คุมเข้มในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
ในวันอาทิตย์ รัฐวิกตอเรีย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีก 671 คน และเสียชีวิต 7 คน ทำให้ตัวเลขสะสมทั้งรัฐอยู่ที่ 11,557 คนและเสียชีวิต 123 คน
นายแอนดรูว์ส กล่าวว่า มาตรการล็อคดาวน์บังคับใช้ในรัฐวิกตอเรีย ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของออสเตรเลีย กำลังทำงานอย่างได้ผล แต่ก็ช้าเกินไป เขากล่าวในที่แถลงข่าวว่า พวกเราต้องทำงานหนักมากกว่านี้ มันเป็นวิธีเดียวที่เราพลิกสถานการณ์ได้ มาตรการล็อคดาวน์ที่ประกาศใช้ในวันอาทิตย์ จะยังคงมีผลไปจนกระทั่งอย่างน้อยวันที่ 13 กันยายน