หลังจากรัฐบาลเวียดนามสั่ง “ล็อคดาวน์” เมืองดานัง เมืองใหญ่อันดับ 3 และเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของเวียดนาม เป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 รายใหม่ 22 คน เชื่อมโยงกับโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองดานัง ซึ่งเป็นการยืนยันการติดเชื้อในเวียดนามครั้งแรกในรอบกว่า 3 เดือน การขนส่งสาธารณะทั้งเข้าและออกเมืองดานัง ถูกยกเลิก โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวหลายพันคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนาม ต้องลดเวลาในการท่องเที่ยววันหยุดช่วงฤดูร้อนในเมืองชายหาดยอดนิยมแห่งนี้
มาตรการล็อคดาวน์ส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเมือง ซึ่งเพิ่งเริ่มต้นกลับมา หลังการระบาดของไวรัสโควิดรอบแรกคลี่คลายลงในช่วงสิ้นเดือนเมษายน แขกที่จองห้องพักโรงแรม ยกเลิกการเข้าพักและยกเลิกการเดินทางหลังรายงานข่าวพบผู้ติดเชื้อรายแรก ทำให้ขณะนี้ โรงแรมต่าง ๆ กลายเป็นโรงแรมร้างไปในทันที
ชายหาดเมืองดานัง ซึ่งต้องรับนักท่องเที่ยวประมาณ 50,000 คนต่อวัน ขณะนี้ ถูกปิดอีกครั้ง มีเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่บริเวณชายหาด ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องลาดตระเวนเพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีใครมารวมตัวกันอยู่ตามชายหาด เจ้าหน้าที่ประเมินว่า จะมีประชาชนหลายพันคน ติดค้างอยู่ในพื้นที่ เนื่องจากขนส่งสาธารณะต่าง ๆ ระงับการให้บริการชั่วคราว และเรียกร้องให้โรงแรมต่าง ๆ อำนวยความสะดวกเรื่องที่พักพิงนักท่องเที่ยวที่ติดค้างไปก่อน
ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามสั่งให้ปิดธุรกิจที่ไม่จำเป็น และเรียกร้องให้ประชาชนในเมืองดานัง ซึ่งมีประชากรประมาณ 1.1 ล้านคน ปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้ง 22 คน มีทั้งคนป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลในเมืองดานัง และสมาชิกในครอบครัวด้วย เมื่อรวมผู้ติดเชื้อทั้งหมดทั่วประเทศแล้ว เวียดนามมีผู้ติดโควิด อยู่ที่ 438 คน ซึ่งถือว่าน้อยมาก และไม่มีผู้เสียชีวิตแม้แต่คนเดียว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การระบาดล่าสุด สร้างความตื่นตระหนกต่อชาวเวียดนามมากขึ้น เมื่อรัฐบาลในกรุงฮานอย เมืองหลวง สั่งให้ปิดบาร์และผับและห้ามประชาชนรวมตัวกันตั้งแต่เที่ยงคืนของเมื่อวานนี้ (วันพุธ) เป็นต้นไป หลังกรุงฮานอย ตรวจพบผู้ติดเชื้อรายแรกที่เชื่อมโยงกับการระบาดในเมืองดานัง รัฐบาลเวียดนาม ระบุในแถลงการณ์ว่า รัฐบาลต้องดำเนินการทันทีและอย่างรวดเร็ว การชุมนุมทั้งหมดจะถูกห้ามจนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
ในกรุงฮานอย มีประชาชนมากกว่า 21,000 คน ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากเมืองดานัง ทั้งหมดต้องถูกเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และรีบทำการตรวจร่างกายโดยด่วน
เวียดนาม ซึ่งปลอดเชื้อไวรัสมรณะมานานหลายเดือน รู้ชะตากรรมเป็นอย่างดี ได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการระบาดรอบใหม่ หลังสื่อรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งในกรุงฮานอย, นครโฮจิมินห์ ซิตี้ และพื้นที่ราบสูงตอนกลาง (Central Highlands) ซึ่งผู้ติดเชื้อทั้งหมดเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการระบาดในเมืองดานัง เฉพาะในกรุงฮานอยนั้น พนักงานคนหนึ่งที่ร้านพิซซา ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากเมืองดานัง ตรวจพบติดเชื้อไวรัสโควิด และเจ้าหน้าที่ต้องปิดร้านเพื่อฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ
สถานีโทรทัศน์เวียดนาม วีทีวี รายงานว่า นายกรัฐมนตรีเหงียน ซวน ฟุก ผู้นำเวียดนาม กล่าวว่า การระบาดของไวรัสระลอกปัจจุบัน แตกต่างจากการระบาดครั้งแรก ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และขณะนี้ ทุกจังหวัดและทุกเมืองต่างมีความเสี่ยง รัฐบาลสั่งระงับเที่ยวบินทั้งหมดทั้งเข้าและออกจากเมืองดานังเป็นเวลา 15 วัน เมื่อตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสรายใหม่หลายสิบคนทั้งในและรอบเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้
เจ้าหน้าที่กล่าวว่า มีนักท่องเที่ยวท้องถิ่นประมาณ 18,000 คน ซึ่งไปเที่ยวเมืองดานัง เดินทางกลับไปยังนครโฮจิมินห์ ซิตี้ ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ของประเทศ ขณะที่ เจ้าหน้าที่ในกรุงฮานอย ก็คาดการณ์ว่า มีประชาชนระหว่าง 15,000-20,000 คนเพิ่งเดินทางกลับจากเมืองดานังเช่นกัน
เวียดนามไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศมาตั้งแต่เดือนเมษายน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดล้วนแต่เป็นกลุ่มที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามได้ส่งเครื่องบินลำหนึ่งไปยังประเทศอิเควทอเรียลกินี (Equatorial Guinea) ประเทศในแอฟริกาตะวันตก เพื่อรับแรงงานก่อสร้างชาวเวียดนาม 140 คน ที่ติดเชื้อโควิดกลับมารักษาตัวในประเทศ ซึ่งเดินทางกลับถึงเวียดนามในวันพุธ โดยเครื่องบินโดยสารของสายการบินเวียดนาม แอร์ไลน์ส เที่ยวบินพิเศษ พร้อมอุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจและทีมแพทย์ของรัฐออกเดินทางในคืนวันจันทร์ และใช้เวลา 27 ชั่วโมง ระยะทาง 21,000 กิโลเมตร ถึงเมืองบาตา เมืองใหญ่สุดของอิเควทอเรียลกินี แรงงานที่ติดเชื้อทั้งหมดถูกส่งตรงเข้าโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อรักษาตัวทันทีเมื่อเดินทางกลับถึงประเทศ ซึ่งมีหลายสิบคนอาการหนัก
ทั้งนี้ ประเทศอิเควทอเรียลกินี มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่า 3,000 คน และเสียชีวิต 51 คน ซึ่งองค์การอนามัยโลกระบุว่า เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของประเทศ ซึ่งมีอยู่ 1.2 ล้านคน