“ธานี” ยัน กมธ.กฎหมาย สนช.แค่สอบหาข้อเท็จจริงคดี "บอส" ไม่มีอำนาจชี้ผิดถูก ขอความเป็นธรรมให้ตระกูล “วงษ์สุวรรณ” อย่าเหมารวม
เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่รัฐสภา นายธานี อ่อนละเอียด สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แถลงชี้แจงกรณีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อ กมธ.ในคดีขับรถยนต์ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้บังคับหมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ โดยประมาทถึงแก่ความตาย ว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ค.59 นายธนิต บัวเขียว ทนายความผู้รับมอบอำนาจ ได้มายื่นขอความเป็นธรรมในประเด็นคำสั่งของรองอัยการสูงสุดที่ยุติเรื่องขอความเป็นธรรม โดยไม่นำเอาข้อเท็จจริงในส่วนของคำให้การของพยานผู้เชี่ยวชาญ และรายงานการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญมาพิจารณาสั่งคดีนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงใช้ช่องทางมาร้องต่อ กมธ.ขอให้สอบถามข้อเท็จจริงจากพยานบุคคล และตรวจพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเร็วรถในขณะเกิดเหตุ ทาง กมธ.จึงได้ส่งเรื่องไปยังศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สนช. เพื่อตรวจสอบตามระเบียบ
นายธานี กล่าวอีกว่า ต่อมาศูนย์ดังกล่าวได้รับเรื่อง และพิจารณาเห็นว่าอยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่ของ กมธ.กฎหมาย และไม่เป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะ กมธ.ชุดอื่น จึงส่งเรื่องกลับมาให้พิจารณาตามหน้าที่และอำนาจ ทางกมธ.จึงมีมติรับเรื่องไปสอบหาข้อเท็จจริง โดยเชิญบุคคล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาให้ข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง 8 คน คือ อดีตรองอัยการสูงสุด อธิบดีอัยการ พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ตรวจสอบสภาพรถยนต์ พยาน 2 ปาก และพยานแวดล้อม 2 ปาก จากนั้น ได้ทำหนังสือถึงอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจ้อมเกล้าพระนครเหนือ ให้ส่งผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสภาพความเสียหาย และคำนวณความเร็วของรถ โดยได้ส่งนายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม หัวหน้าศูนย์วิจัยวิศวกรรมการประเมิน และความปลอดภัยยานยนต์ มาทำการตรวจสอบ และส่งผลการตรวตสอบกลับมายัง กมธ. จากนั้น ได้รวบรวมผลการสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดส่งไปยังอัยการสูงสุด และอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ยืนยันว่าการดำเนินการของ กมธ.เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2557 มาตรา 13 วรรคสอง และข้อบังคับการประชุม สนช. ที่ให้ สนช.ทำหน้าที่ให้ความเป็นธรรมกับประชาชน และส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ซึ่งถือเป็นช่องทางหนึ่งให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในรายงานของ กมธ.มีความเห็นอย่างไร นายธานี กล่าวว่า ตามอำนาจของ กมธ.ไม่สามารถชี้ผิดชี้ถูก เพราะเราไม่ใช่อัยการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะวินิจฉัยได้ เรามีหน้าที่แค่เสนอผลการศึกษา คำชี้แจงของผู้มาชี้แจง การศึกษาเรื่องการคำนวณความเร็วรถของผู้เชี่ยวชาญ โดยนำเสนอไปยังหน่วยงานทีเกี่ยวข้องให้พิจารณาเท่านั้น เมื่อถามว่า ผลการศึกษาเรื่องความเร็วไม่ถึง 100 กม.ต่อ ชม.ใช่หรือไม่ นายธานี กล่าวว่า เรื่องนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ เมื่อคนในองค์กรถึงแก่กรรมก็ต้องเร่งดำเนินการ และได้มีการสอบเพิ่มเติมหลังจากมีการร้องกับ สนช. ทางอัยการสูงสุดได้สั่งให้สอบเรื่องความเร็วว่าเป็นอย่างไรกันแน่ เจ้าพนักงานจึงไปทำรายงานต่อหน้าผู้บังคับบัญชาระดับนายพลจากความเร็วเดิม 177 กม.ต่อ ชม. ซึ่งคลาดเคลื่อนจากเป็นจริง คือ 76 กม.ต่อ ชม. ก่อนที่จะมาชี้แจงอีกครั้งกับ กมธ. ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของนายสายประสิทธิ์ ที่เป็นคนไทยคนเดียวที่เป็นสมาชิกเอเชี่ยน เอ็นแคป ในรายงานของ กมธ.ที่เสนอไปให้อัยการ คือ 79 กม.ต่อ ชม.
ต่อข้อถามว่า เหตุใดไม่นำข้อมูลของกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ซึ่งยืนยันว่าความเร็วรถเกิน 100 กม.ต่อ ชม. นายธานี กล่าวว่า ไม่มีคนยื่นคำร้องมา แต่ทาง กมธ.ได้เชิญสารวัตรช่างเครื่องยนต์ ยศ พ.ต.ท. ซึ่งทำคดีมาจำนวนมาก มาให้ความเห็นด้วย ซึ่งยืนยันว่าจากความเสียหาย ความเร็วไม่น่าจะเกิน 80 กม.ต่อชม. วิทยาศาสตร์น่าเชื่อถือที่สุด พยานบุคคลยังกลับไปกลับมา ถ้าสงสัยสื่อก็ต้องไปหาความรู้ หาแหล่งอ้างอิงซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการให้ความรู้กับประชาชน ว่าวิธีการสืบหาข้อเท็จจริง โดยที่เราไม่ได้ว่าจินตนาการ คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่การกระทำความผิดไม่เลือกวัย ไม่เลือกความจน ความรวย ทุกคนมีโอกาสทำความผิดกันหมด แต่ข้อเท็จจริงถ้าพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์มันต้องเป็นอย่างนั้น แล้วศาลจะเชื่อถือข้อเท็จจริงที่เป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าบุคคล
เมื่อถามถึงพยานใหม่ที่เพิ่งปรากฏตัวทั้งที่คดีดังกล่าวผ่านมา 7 ปี นายธานี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้พยานท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เมื่อเห็นว่าเรื่องเริ่มบานปลายไปกันใหญ่ จึงได้ออกมาเป็นพยานให้ ขอร้องอย่าจินตนาการแบบนี้ อย่านำเปลือกหรือข้อเท็จจริงที่ยังไม่ยุติมาอ้าง ซึ่งอีก 7 วันทางอัยการก็จะรวบรวมหลักฐาน พยานเพื่อชี้แจง แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยตรวจสอบว่ามีเหตุผลหรือไม่ อัยการ และตำรวจมีหน้าที่พิจารณามูลเหตุว่าเพียงพอฟ้องหรือไม่ และอัยการเองก็ไม่ได้ทำหน้าที่ตามอำเภอใจ หรืออัยการก็ไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์ หรือไม่ใช่พนักงานส่งอาหารที่มาอย่างไรก็ส่งไปอย่างนั้น เขามีดุลยพินิจในการวินิจฉัย ถ้าใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจก็จะติดตัวเขาไปจนตาย ตรงนี้ฝากสื่อให้ความรู้แก่ประชาชนบ้าง ขอให้สื่อใจเย็น และให้สติปัญญากับประชาชน อย่าเร่งเร้า ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานรนรานไปหมด
นายธานี ยืนยันว่า กมธ.มีหน้าที่ตรวจสอบแต่ไม่มีอำนาจในการสั่งหรือก้าวก่าย และพนักงานอัยการจะนำผลการศึกษาของ กมธ.ไปใช้สั่งสำนวนไม่ได้ แต่หากอัยการสงสัยก็จะสั่งให้พนักงานสอบสวนไปสอบสวนในประเด็นนั้นๆเพิ่มเติม และไม่มีการตัดสินชี้ถูกชี้ผิด ต่อข้อถามต่อว่า เหตุใด กมธ.ถึงเรียกพยาน 2 ปาก ซึ่งอัยการตีตกพยานดังกล่าวตั้งแต่ปี 2555 แล้ว นายธานี กล่าวว่า มีการกล่าวอ้างชื่อในคำร้องของนายวรยุทธ ว่าการที่ไม่ฟังพยาน 2 ปากนี้ ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสมัคร เชาวภานันท์ ทนายความประจำตัวของตระกูลอยู่วิทยา และอดีต ส.ว. เคยร่วมทำงานกับ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ใน กมธ.การยุติธรรม และการตำรวจ วุฒิสภา ปี 51 ซึ่งมีกระแสข่าวว่าเป็นผู้ดำเนินการยื่นเรื่องต่อ กมธ.กฎหมาย สนช. ปี 57 ซึ่งพล.ร.อ.ศิษฐวัชร เป็นประธาน นายธานี กล่าวว่า เท่าที่ทราบ นายธนิต บัวเขียว คือทนายความที่รับมอบอำนาจให้มายื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าว ส่วนจะเป็นตัวแทนนายสมัครหรือไม่ ไม่ทราบ ตั้งแต่ตนเป็น กมธ.ยืนยันไม่เคยเจอนายสมัคร
นายธานี ยังระบุอีกว่า กรณี พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร อดีต ผบช.น. และ อดีต สนช. ออกมาเปิดเผยว่าในชั้น กมธ.ได้ตีตกเรื่องนี้ไปแล้วนั้น เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะ สนช.มีงานเยอะ พล.ต.ท.ศานิตย์ จึงอาจสับสนได้ กมธ.ไม่เคยชี้ขาด พร้อมยืนยันว่าไม่มีการทำความเห็นให้อัยการส่งสำนวนไปยังตำรวจเพื่อทบทวนอีกครั้ง
นายธานี ยอมรับว่าผลการศึกษาเรื่องความเร็วของ กมธ. ตรงข้ามกับหลักฐานเมื่อปี 55 ซึ่งเป็นที่สงสัยของตน และ กมธ.เช่นกัน แต่ก็ไม่มีผู้มาร้องเรียนหลังเจ้าพนักงานทำรายงานต่อหน้าผู้บังคับบัญชา และตัวผู้เชี่ยวชาญที่มาศึกษาก็มีความรู้ความสามารถทำคดีมาหลายคดี มีต้นทุนทางสังคม
เมื่อถามถึงกรณีที่สภาพของรถที่หลายคนสันนิษฐานว่ายับเยินมากกว่าความเร็วที่ 76 กม.ต่อชม. นายธานี ชี้แจงว่า จากรายงานให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องมวลของรถเฟอร์รี่ที่หนัก และรถมอเตอร์ไซค์มีมวลรถที่เบา ส่วนหากวิ่งด้วยความเร็วดังกล่าวแล้วทำไมนายวรยุทธถึงมองไม่เห็น ลากร่างผู้เสียชีวิตถึง 200 เมตรนั้น อาจมีรถกระะบะมาบังจึงมองไม่เห็นคนที่ถูกชน และมีการสันนิษฐานเป็น 2 ประเด็น คือ รถเบรกแล้วแต่ไม่มีรอยเพราะด้วยประสิทธิภาพของรถหรู หรือมีความเป็นไปได้ว่าไม่เบรก ส่วนเรื่องยาเสพติดในตัวนายวรยุทธ ไม่มีการร้องเรื่องนี้เข้ามา ดังนั้น กมธ.จึงไม่ได้มีการตรวจสอบ
เมื่อถามย้ำว่า มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เสียหายหรือไม่ นายธานี กล่าวว่า ผู้เสียหายไม่ได้ร้องมาที่ สนช. และจากบันทึกของตำรวจนายวรยุทธ ได้มีการเยียวยาให้กับครอบครัวผู้ตายไปแล้ว อีกทั้งญาติก็ไม่ได้ร้องว่าไม่ได้รับเงินเยียวยา ถามว่าจะให้สอบประเด็นอะไร เท่าที่ดูข่าวเขาก็ได้รับค่าเสียหายไปแล้วจริง และไม่ติดใจ ที่สำคัญทางญาติก็ไม่ได้นั่งรถไปกับผู้เสียชีวิตและเห็นเหตุการณ์ หากไม่เรียกมาจะถือว่ากมธ.ผิด อย่าอคติกับกมธ.ว่าช่วยนายวรยุทธ เพราะไม่รู้จะช่วยไปทำไม ยืนยันว่ากมธ.ให้ความช่วยเหลือทั้งสองฝ่าย
“ผมอยากจะเตือนสติสังคมว่าไปย้อนดูว่ามีกี่สื่อ กี่ฉบับที่เมื่อศาลพิพากษาแล้ว หรือยกฟ้อง แล้วมีคนตกเป็นจำเลยตามที่สื่อเสนอ แล้วสื่อไปขอโทษด้วยจิตวิญญาณของวิชาชีพ เขาเสียหายขนาดไหน อยากจะเตือนสติไว้บ้างว่าเราเองขายข่าวได้เป็นประเด็น แต่ต้องมีสติ ให้สังคมได้พัฒนา หยิบเอาประเด็นมาเป็นจินตนาการแบบนั้นแบบนี้ เมื่อเขาพิสูจน์ได้ ก็เงียบไป ไม่เห็นมีสื่อไหนถือดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมา ขอเถอะ ขอให้มีสติให้สังคมพัฒนาขึ้น ปฏิรูปสื่อสักที” นายธานี กล่าว
เมื่อถามว่า เรื่องนี้มีการโยงไปถึง พล.ร.อ.ศิษฐวัชร ซึ่งเป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นการจินตนาการใช่หรือไม่ นายธานี กล่าวว่า คงอย่างนั้น อย่าไปผูกโยงว่าคนตระกูลนี้ผิดไปหมด มันไม่ใช่ ถ้าเขาไม่ทำตามอำนาจหน้าที่ ก็อย่าเหมารวม เพราะมันไม่เป็นธรรม