เป็นหนุ่มที่กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรได้เลยสำหรับ "อั๊ต อัษฎา พาณิชกุล" ที่ยังคงความสดใสหล่อเหลาไว้เหมือนเดิม เพิ่มเติมความน่ารักขึ้นด้วยความเฟรนด์ลี่ ที่ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อยากจะคว้าหัวใจมาไว้ข้างกาย เพราะความฮอตที่เกินต้านจึงเป็นแรงดึงดูดให้รายการต้มยำอมรินทร์ เชิญหนุ่มอั๊ต มานั่งพูดคุยอัพเดทชีวิตเริ่มต้นจากงานที่หายไปไหนจากหน้าจอ ซึ่งเจ้าตัวแจงว่าหลังกลับมาอยู่เมืองไทยมากขึ้นในช่วงหลังๆที่หายไปเพราะสนุกกับการอยู่เบื้องหลังและการบริหารงานมากกว่า ส่วนเรื่องของหัวใจตอนนี้ยังว่างไร้คนจับจองก็เพราะเหตุเพราะถูกสาปให้เป็นโสดตลอดชีวิต
มีวิธีการดูแลตัวเองยังไงไหม ที่ทำให้ดูอ่อนวัยมากขนาดนี้ ?
ด้วยเป็นคนที่ชอบใช้ของออแกนิคอะไรที่เป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจะชอบ เวลาที่เพื่อนๆมาบ้านเขาจะตกใจในสิ่งที่เขาเห็นในห้องน้ำ เพราะเขาคิดว่าเราจะใช้แบรนด์แต่ทุกอย่างกับเป็นสมุนไพรหมดเลย ยาสระผม หรือ ครีมล้างหน้าที่เราใช้ก็จะเป็นของที่มาจากธรรมชาติหมดเลย แล้วอีกอย่างคือ ที่บ้านหน้าเด็กหมดเลยเพราะว่าป๊ากับแม่ทุกคนหน้าจะต้องลบไป 10 ปี ตอนนี้ ป๊า อายุ 82 แต่ว่าคนที่มาเจอป๊าคิดว่าเขาน่าจะประมาณ 70 ผมคิดว่าครอบครัวของผมเป็นครอบครัวที่อารมณ์ดี และน่าจะเป็นที่กรรมพันธุ์
แต่เห็นว่ารูปร่างหน้าตาแบบนี้แล้วจริงๆมีมุมที่เป็นข้อด้อย เป็นปมในใจที่โดนล้อมาตลอดผอมเกินไปเป็นกุ้งแห้ง ?
จริงๆโดนล้อมาตลอด สมัยที่โตที่อเมริกาคือจะเป็นตัวเล็กสุดในชั้น ในโรงเรียน เราก็จะมีฉายาเลยเพราะเขาจะเรียกเราว่าตัวเล็ก หรืออีกชื่อไอ้เกี๊ยวแห้ง เวลาเขานึกถึงคนเอเชียเขาก็จะนึกถึงเอเชียเขาก็จะนึกถึงเกี๊ยวทอด ปอเปี้ย ครับ
พอเราโดนล้อตอนนั้น เราเลยอยากจะอ้วนเลยเหรอ ?
พอเรามาถึงจุดหนึ่งในชีวิตที่เราสามารถให้มันอ้วนได้ เพราะว่าตอนที่เล่นละคร คือก่อนที่เราจะไปทำงานที่สิงคไปร์ เรากินเวย์กับโปรตีน แค่อยากรู้ว่าเราจะเพิ่มน้ำหนักได้ไหม มีช่วงหนึ่งที่เพิ่มได้เพิ่มมาประมาณ 4 กิโล จริงๆแล้วมันตลกนิดนึง คือเวลาเรากินเราต้องออกกำลังกายด้วยไง แต่เรากินแล้วมันก็เริ่มบวมๆ เราก็ออกกำลังกายแต่มันก็ต้องๆฟิตๆ แต่ช่วงนั้นเราไม่ได้ฟิตมาก ท้องของเราก็จะป่องๆมาก จำได้เวลาที่เราเดินไปไหนมาไหนตอนนั้นเรายังมีความซ่าอยู่เวลาเราเจอพี่ๆเราก็จะเปิดเสื้อให้เขาดูว่าให้เขาเห็นว่าเราอ้วนแล้วนะ พี่ๆเขามองแล้วทำหน้าขยะแขยงมาก ทำให้เรารู้ว่าจริงๆคนเราไม่มีความพอดีคนอ้วนอยากผอม คนผอมอยากอ้วน
เรากลับมาอยู่ที่เมืองไทยแล้วทำไมเรายังไม่ค่อยได้เห็นหน้าอั๊ตเพราะอะไร ?
น่าจะเป็นเพราะว่าผลงานที่อยู่หน้ากล้องจะไม่ค่อยได้เห็น แต่จริงๆผมกลับมาได้สักประมาณ 4-5 ปีแล้ว แล้วก็ที่หายไปไม่ได้ไปไหน แต่ไปอยู่เบื้องหลังซะส่วนมากเป็นการบริหารงานพวกคอนเทนท์ครับ ตอนที่กลับมาแรกๆคือมาบวช และหลังจากบวชคือเราทำงานให้กับช่องภาษาอังกฤษประมาณ 2 ปี แล้วต่อมาเราก็ได้มาบริหารเกี่ยวกับคอนเทนท์ หลังจากนั้นเราก็กลับไปที่สิงคโปร์ กลับไปเป็นที่ปรึกษา พอกลับมาที่ไทยอีกครั้งเราก็ได้ทำงานให้กับ JOOX ที่เป็นแอพเกี่ยวกับเพลง แต่ส่วนที่เราทำคือในส่วนของอีเว้นท์ แล้วก็หลังจากนั้นเราก็ไปทำงานให้กับทาง TRUEID แล้วก็ได้ออกก่อนช่วงโควิด
คือช่วงที่หายไป อั๊ตไปทำงานออฟฟิศเลย ?
ใช่ครับ เลยทำให้การทำงานเบื้องหน้าของเราน้อยลง เพราะเราต้องไปโฟกัสงานประจำแบบเต็มที่
เรารู้สึกไหมว่า ไม่สนุกเลยที่ไปทำงานออฟฟิศ เพราะทำงานในวงการบันเทิงสนุกกว่าอิสระกว่า ได้เงินเยอะกว่า เราเคยคิดแบบนี้ไหม ?
จริงๆในแต่ละงานที่ทำ เราก็ได้มีการแบ่งเวลา เพื่อมาทำคอนเทนท์ ก็บางคอนเทนท์เราก็ออกมาทำหน้าที่พิธีกรกับน้องที่เรากำลังปั้น ก็ไม่ได้หายไปซะทีเดียว ก็ใช้ความรู้ความสามารถที่เรามีถ่ายทอดให้กับน้องๆอีกครั้ง ตอนที่ทำ Joox เหมือนกับเป็น TV กับ Chanel V สมัยก่อนเพราะเรามีการไปสัมภาษณ์ บุกห้องซ้อม หรือมีการไลฟ์แบบสดด้วยการเอาศิลปินมาสัมภาษณ์เราก็ลงไปเป็นพิธีกรช่วยด้วยตรงนั้นในบางครั้ง เพื่อประกบน้องที่เป็นพิธีกร
มีคนเม้าท์มาว่าอั๊ตเป็นที่ตั้งใจทำงานมาก และดุมากด้วย ลูกน้องกลัวมากจริงหรือเปล่า ?
ไม่จริง !!! เราคิดว่าเราเป็นเจ้านายที่ใจดี แต่มันก็มีบางอารมณ์ที่ดุมาก ถ้าเราต้องพูดอะไรย้ำแล้วย้ำอีกแล้วไม่เข้าใจ คือเราเข้าใจภาพลักษณะของเราที่ใจดีมาก แต่พอบางทีที่มันอัดอั้นมากๆมันก็มีเหตุผลนะครับ ไม่ได้วีนเหวี่ยง อะไรเลยครับ

การที่เราเป็นคนตั้งใจทำงานแบบนี้ และได้งานดีๆตลอด เพราะเราเป็นคนที่วิ่งเข้าหาโอกาสเสมอ ?
ใช่ครับ เพราะเราอาจจะถูกปลูกฝังมาตลอดตั้งแต่ตอนที่เราอยู่เมืองนอก คือพ่อแม่เราเขามีร้านอาหารไทย เขาก็จัดให้เราเป็นเด็กล้างจานก่อน ตั้งแต่อายุ 8 – 9 ขวบ แล้วค่อยให้เรามาเสิร์ฟ แล้วก็มาดูแลร้านต่อตามวัย ทำให้เรารู้จักเคารพทุกคนทุกด้าน และทำให้เรารู้จักเลเวลของการทำงานเป็นยังไง กว่าที่เราจะได้โอกาสทำงานที่ M TV คือไม่ได้มาง่ายๆเลย ในยุคหนึ่งที่เป็นเทป vss ที่เป็น vdo ใหญ่ๆเราส่งจากที่นี่ไปสิงคโปร์ เพื่อแบบหาที่จะเปิดโอกาสให้กับตัวเอง เราสมัครไปเอง พรีเซ็นตัวเองไป ก็ไม่มีใครตอบกลับมานะ แต่ก็มีแคสติ้งเราก็บินไปที่สิงคโปร์ แต่เราก็ไม่ได้เพราะว่าเราพูดภาษาจีนไม่ได้มันก็เหมือนว่าในทุกๆงานที่เรากว่าจะได้มา ถ้าเราอยากได้จริงๆต้องมีความมุ่งมั่น
แปลว่าหัวใจก็ยังเปิดรับ ?
ตอนนี้สถานะหัวใจ ?
โสดครับ
โสดอย่างตั้งใจ หรือยังไง ?
ถ้าโสดแบบธรรมชาติ มันก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะโสด คืองี้นะครับ เราเป็นคนที่เฟิร์สบ่อยมาก แต่ที่โสดก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึง โสด ตอนนี้ยังไม่มีใคร
คือไม่มีคนเข้ามา เราไม่มองใคร หรือเราตั้งใจไม่มีแฟน อยากอยู่คนเดียว ?
โดยนิสัยพื้นฐานคือเป็นคนที่อยู่คนเดียวได้ เพราะว่ามีโลกส่วนตัวสูง เพราะตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว ดีกรีของความเหงาของตัวอั๊ตเอง จะไม่ได้มีเท่าคนอื่นเขา เหมือนอย่างช่วงนี้โสดก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอะไรมาก โสดได้
จริงหรือเปล่าที่มีคนสาปแช่ง ไม่ให้มีแฟนตลอดขีวิต ?
ใช่ !! โดนสาปที่เรารู้สึกเพราะถ้าเป็นคนอื่นสาปเราจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรนะ แต่คนที่สาปเราคือคุณแม่ คือคุยกับแม่เล่นๆ แม่เขาบอกเราว่าเขาไปดูดวงมาว่า ลูกจะไม่มีดวงมีคู่ จะไม่มีแฟนเพราะหน้าที่ของลูกคือดูแลพ่อแม่ คือตอนที่เราได้ยินแม่พูดตอนนั้นเราเอ๋อ เลยแม่พูดได้ยังไง
เชื่อในคำสาปแช่งนั้นไหม ?
ไม่เชื่อครับ
คือที่บอกว่าโสดไม่ใช่ไม่มีใครเลยนะครับ ไม่ได้เปิดหัวใจนะ แค่ช่วงนี้มันโสด แต่ถ้ามีใครเข้ามาก็โอเค
แล้วใครคนนั้นที่จะเข้าไปได้ต้องเป็นคนแบบไหน ?
ชอบคนเก่ง กล้าแสดงออก ชอบผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิง ชอบผู้หญิงที่กล้าแสดงความคิดเห็นที่สามารถพูดคุยคิดร่วมไปกับเราได้ ที่มีความคิดเป็นของตัวเอง สมัครมาได้เลยนะครับทางอินสตาแกรมของผม DM มาได้เลยนะครับ