เพลิงเผาวอดโรงงานไฟเบอร์กลาสย่านปทุม ดับสลด 1 ราย

2020-07-28 16:50:26

เพลิงเผาวอดโรงงานไฟเบอร์กลาสย่านปทุม ดับสลด 1 ราย

Advertisement

จนท.ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงเข้าควบคุมเพลิงไหม้โรงงานไฟเบอร์กลาส ย่านปทุมธานี พบสาวออฟฟิศเสียชีวิต 1 ราย

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ร.ต.อ.ธีรศักดิ์ แสนโท รองสารวัตรสอบสวน สภ.ลำลูกกา อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ประสานรถน้ำจาก อบต.บึงคำพร้อย เทศบาลตำบลธัญบุรี เทศบาลเมืองลาดสวาย และรถน้ำใกล้เคียงกว่า 20 คัน เข้าระงับเหตุเพลิงไหม้ บริษัทเทคโนโลยีไฟเบอร์กลาส จำกัด เลขที่ 29/11 หมู่ 14 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ตั้งอยู่ถนนเลียบถนนกาญจนาภิเษกหมายเลข 9 บางปะอิน-บางนา โดยที่เกิดเหตุเป็นโรงงานขนาดใหญ่ ปลูกอยู่บนเนื้อที่ ประมาณ 3 ไร่ โดยโครงสร้างทำจากโครงเหล็กหลังคาเมทัลชีท ส่วนภายในโณงงานมีผลิตภณฑ์จำพวกถังน้ำและเก้าอี้พลาสติกที่ทำจากไฟเบอร์กลาส เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องเร่งฉีดน้ำสกัดเพื่อไม่ให้ลุกลาม แต่เพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็วจนได้รับความเสียหายทั้งหมด เจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงจึงควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตเป็นหญิง 1 รายทราบชื่อต่อมา คือ นางวรนุช เก้าอุดม อายุ 52 ปี เป็นพนักงานออฟฟิตอยู่บนชั้น 2 นอกจากนี้ยังพบผู้บาดเจ็บเล็กน้อยอีก 1 ราย ชื่อ นายธีรพงษ์ ศรีโสภา อายุ 20 ปี เป็นพนักงานของบริษัทถูกเพลิงไหม้ที่ข้อมือซ้าย และใบหน้า

นายธีรพงษ์ เล่าว่า วันนี้เป็นวันหยุดของทางบริษัท แต่มีพนักงาน 15 คน เข้ามาทำโอที โดยช่วงระหว่างช่วงพักเที่ยงได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นสองครั้ง ก่อนที่จะมีไฟลุกไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็วภายในโรงงาน พนักงานทั้งหมดต่างพากันวิ่งหาน้ำและถังดับเพลิงมาดับแต่ไม่ทันการณ์ เพราะเพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็วจึงวิ่งหนีออกมาด้านนอก ก่อนโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และประสานรถดับเพลิงให้เข้ามาช่วยดับไฟ




ขณะที่ นายไชยรัตน์ งามสังข์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เปิดเผยว่า บริษัททำเกี่ยวกับไฟเบอร์กลาส เช่นหลังคารถ และถังชนิดต่างๆ โดยภายในโรงงานมีชิ้นงานที่ทำเสร็จแล้วซึ่งเตรียมส่งลูกค้าในวันเปิดทำการ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ได้รับความเสียหายอีกเป็นจำนวนมาก โดยเบื้องต้นคาดว่าความเสียหายครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

ด้าน ร.ต.อ.ธีรศักดิ์ เปิดเผยว่า ได้ทำการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุและบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานแล้ว นอกจากนี้ยังสอบปากคำพยานบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์จนครบถ้วน ขณะดียวกันสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกันพื้นที่เอาไว้ เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบจากเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป