สหรัฐประท้วงสีผิว แม้ไวรัสโควิดยังระบาดหนัก

2020-07-27 06:45:06

สหรัฐประท้วงสีผิว แม้ไวรัสโควิดยังระบาดหนัก

Advertisement


เจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ปะทะกับฝูงชนที่เดินขบวนแสดงพลังสนับสนุนการประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งของการชุมนุมที่ตึึงเครียดที่สุดที่จัดขึ้นทั่วประเทศเมื่อวันเสาร์ ตามเวลาท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้ระเบิดแสง หรือระเบิดสตัน และสเปรย์พริกไทยยิงเข้าใส่ ขณะที่กลุ่มผู้ประทวงก็จุดไฟเผาและทำลายหน้าต่างของอาคารต่าง ๆ ซึ่งการเดินขบวนครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนการประท้วงที่กำลังเกิดขึ้นในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน มีผู้ถูกจับกุมตัวไป 45 คน ส่วนตำรวจบาดเจ็บ 21 นาย

ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส ชายคนหนึ่งเสียชีวิตระหว่างการเดินขบวน “Black Lives Matter” (ชีวิตคนผิวดำก็มีค่า) ผู้เห็นเหตุการณ์ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ออสติน สเตทสแมน ว่า มีรถคนหนึ่งพุ่งเข้าใส่ฝูงชน จากนั้นคนหนึ่งที่อยู่ในรถก็ยิงผู้ประท้วง เหยื่อถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมตัว



นอกจากในเมืองซีแอตเทิล และออสตินแล้ว ผู้ประท้วงก็เดินขบวนในเมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี, เมืองออโรรา รัฐโคโลราโด, นิวยอร์ก, โอมาฮา, เนแบสกรา, โอ๊คแลนด์และลอสแอนเจลีส ในแคลิฟอร์เนีย และเมืองริชมอนด์ ในเวอร์จิเนีย โดยการประท้วงครั้งนี้ ถูกจุดชนวนมากจากการปะทะกันรุนแรงในเมืองพอร์ตแลนด์ ระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงกับทหารจากกองกำลังความมั่นคงส่วนกลาง ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งเข้าไปรักษาความสงบในเมืองพอร์ตแลนด์ แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านจากบรรดาผู้นำท้องถิ่นและผู้นำรัฐก็ตาม

ในเมืองซีแอตเทิล ผู้ประท้วงหลายพันคน เริ่มต้นชุมนุมกันอย่างสงบ ถือแผ่นป้ายเขียนข้อความต่าง ๆ เช่น “ทหารจงกลับไป” และ “พวกเราอาศัยอยู่ในรัฐตำรวจ” พร้อมตะโกนคำว่า “ไม่มีความยุติธรรม, ไม่มีสันติภาพ” จากนั้น ก็มีผู้ประท้วงกลุ่มหนึ่งจุดไฟเผาสถานที่ก่อสร้างศูนย์กักกันเยาวชน ก่อนทุบหน้าต่างศาลและห้างร้านธุรกิจต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ทั้งก้อนหิน ขวดน้ำ ดอกไม้ไฟ และวัตถุสารพัดชนิด ถูกขว้างเข้าใส่เจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่คนหนึ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เนื่องได้รับบาดเจ็บที่ขา



ตำรวจประกาศ ให้การประท้วงเป็นการก่อจลาจล และบอกว่า พวกเขากำลังสอบสวนว่า มีการใช้ระเบิดแสวงเครื่องโจมตีสถานีตำรวจแห่งหนึ่งหรือไม่ ซึ่งไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ

ในส่วนของเมืองซีแอตเทิล ซึ่งก็คล้ายกับพอร์ตแลนด์ มีการประท้วงต่อเนื่องในการต่อต้านการเหยียดสีผิวและความโหดร้ายป่าเถื่อนของตำรวจ ตั้งแต่การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ระหว่างการจับกุมของตำรวจในในเมืองมินนิีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ขณะที่การประท้วงยังดำเนินไปอย่างดุเดือดนั้น ข้ามไปที่รัฐฟลอริดา เมื่อวานนี้ (อาทิตย์) ตามเวลาท้องถิ่น กลายเป็นรัฐที่ 2 ตามหลังแคลิฟอร์เนีย ที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 พุ่งแซงนิวยอร์ก ซึ่งเป็นรัฐที่มีการระบาดของไวรัสรุนแรงที่สุดในสหรัฐในช่วงต้น จากข้อมูลของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่รวบรวมจากการรายงานของรัฐบาล

ผู้ติดเชื้อโควิด ในรัฐฟลอริดา หรือที่รู้จักกันในนาม ซันไชน์สเตต (Sunshine State) เพิ่มขึ้นอีก 9,300 คน รวมเป็นทั้งสิ้น 423,855 คนในวันอาทิตย์ ตามหลังรัฐแคลิฟอร์เนียเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ มีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 448,497 คน ส่วนรัฐนิวยอร์ก หล่นลงมาอยู่อันดับ 3 มีผู้ติดเชื้อ 415,827 คน แต่รัฐนิวยอร์กยังครองสถิติผู้เสียชีวิตสูงที่สุดในสหรัฐมากกว่า 32,000 คน ขณะที่ ฟลอริดา อยู่อันดับ 8 มีผู้เสียชีวิตเกือบ 6,000 คน



เฉลี่ยแล้ว รัฐฟลอริดามีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละมากกว่า 10,000 คนในเดือนกรกฎาคม และแคลิฟอร์เนีย 8,300 คนต่อวัน ส่วนนิวยอร์กลดลงมาเหลือ 700 คนต่อวัน

ผู้ติดเชื้อในรัฐฟลอริดายังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ นายรอน เดซานติส ผู้ว่าการรัฐ แถลงย้ำบ่อยครั้งว่า เขาจะไม่บังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยและโรงเรียนต่าง ๆ ต้องเปิดเรียนตามกำหนดในเดือนสิงหาคมนี้ ตรงข้ามกับนิวยอร์กที่บริหารจัดการเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสด้วยการปิดห้างร้านและร้านอาหาร และบังคับประชาชนสวมหน้ากากอนามัย

การเพิ่มขึ้นของตัวเลขผู้ติดเชื้อ ยังเกิดขึ้นในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังกดดันให้โรงเรียนทั่วประเทศ กลับมาเปิดเรียนอีกครั้งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ แม้ว่า คณะครูและบรรดาครอบครัวของเด็ก จะมีความวิตกกังวลว่า เด็ก ๆ ลูกหลาน อาจติดเชื้อไวรัส หากกลับไปเรียนหนังสือในห้องเรียน



นอกจากนี้ ยังมีรัฐเท็กซัส ที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสสูงถึง 391,000 คน ซึ่งผู้ว่าการรัฐ เกรก แอบบอตต์ กล่าวว่า พายุโซนร้อน “ฮันนา” ซึ่งเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ในขณะเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 กลายเป็นปัญหาท้าทาย เพราะพายุพัดผ่านพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด ทำให้การป้องกันยากลำบากยิ่งขึ้น

ขณะนี้ สหรัฐมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสทั่วประเทศแล้วมากกว่า 146,000 คน เกือบ 1 ใน 4 ของทั่วโลก และมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 4.2 ล้านคน หรืออย่างน้อย 1 ใน 79 คนของประชาชนชาวอเมริกัน

ส่วนทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 16 ล้านคน และเสียชีวิตมากกว่า 647,000 คน