ตร.เร่งรวบรวมพยานหลักฐาน เตรียมแจ้ง 3 ข้อหา "แก๊งโจ๋" 2 กลุ่ม บุกโรงพยาบาลทำร้าย "หมอ-คู่อริ" ถึงห้องฉุกเฉิน
เมื่อวันที่ 20 ก.ค. พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวถึงกรณีกลุ่มวัยรุ่นทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกันใน รพ.เมืองสมุทรปู่เจ้า จ.สมุทรปราการ ส่งผลให้มีผู้ได้บาดเจ็บและทรัพย์สินของทาง รพ.ได้รับความเสียหาย ว่า ได้รับรายงานจากตำรวจ สภ.สำโรงใต้ ว่า เมื่อช่วงค่ำวานนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรจสอบเหตุกลุ่มบุคคลยกพวกทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธ ที่บริเวณวินส้ม ซอยโรงเหล็ก ต.บางหญ้าแพรก อ.พระประแดง จากการสอบปากคำเบื้องต้น ทราบว่า กลุ่มคู่กรณีทั้งสองนัดเคลียปัญหากันแต่ตกลงกันไม่ได้ จึงเกิดการทะเลาะวิวาทชกต่อยกันชุลมุน ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 คน โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลวิภารามชัยปราการ ซึ่งเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนอีก 2 รายที่ได้รับบาดเจ็บ ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเมืองสมุทรปู่เจ้าสมิงพราย และโรงพยาบาลสำโรงการแพทย์
รอง โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า ต่อมาเวลาประมาณ 20.30 น. กลุ่มเพื่อนผู้เสียชีวิตซึ่งอยู่ที่โรงพยาบาลวิภารามชัยปราการ ประมาณ 15-20 คน เกิดความไม่พอใจ และรู้ว่ากลุ่มคู่อีกฝ่ายได้มารักษาตัวที่โรงพยาบาลเมืองสมุทรปู่เจ้าสมิงพราย จึงยกพวกไปล้างแค้น โดยใช้ไม้ เก้าอี้ ทำร้ายกลุ่มเพื่อนที่มาดูอาการผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ของโรงพยบาลเมืองปู่เจ้าสมิงพราย ได้รับความเสียหาย แล้วหลบหนีไป ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และพิสูจน์ทราบกลุ่มผู้ก่อเหตุ โดยเบื้องต้นจะดำเนินคดีกับทั้งสองกลุ่มในความฐานผิดฐานร่วมกันชุลมุนต่อสู้กันจนเป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ พร้อมทั้งจะดำเนินคดีกับกลุ่มที่ยกพวกมาทำร้ายภายในโรงพยาบาล ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกสถานพยาบาลในยามวิกาล, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวเพิ่มเติมว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าวไม่สมควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ที่อยู่ระหว่างการช่วยเหลือรักษาผู้ป่วยรายอื่น หรือทำให้ทรัพย์สิน อุปกรณ์ทางการแพทย์ของโรงพยาบาลได้รับความเสียหาย อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย หรือประชาชนรายอื่นที่เข้ามาใช้บริการภายในโรงพยาบาล ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุดทุกราย ดังนั้นการจะทำสิ่งใดขอให้มีสติ และใช้วิจารณญาณก่อนลงมือกระทำ เพราะเมื่อกระทำไปแล้วอาจนำมาซึ่งความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
รอง โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้เน้นย้ำมาโดยตลอดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกพื้นที่เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันเหตุด่วนเหตุร้ายในทุกมิติ พร้อมประสานการปฏิบัติกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการหาความร่วมมือเพื่อป้องกันเหตุ พร้อมฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชน ว่า การใช้อารมณ์ในการแก้ไขปัญหาอาจนำมาซึ่งความสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน และนำไปสู่การละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมือง นอกจากจะส่งผลเสียต่อตนเองและผู้อื่นแล้ว ยังอาจถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งทำให้เสียเวลาและมีประวัติติดตัว