"วิโรจน์"กังขา กกต.จำกัดคนรับฟังปราศรัยไม่เกิน 30 คน

2020-07-16 18:15:20

"วิโรจน์"กังขา กกต.จำกัดคนรับฟังปราศรัยไม่เกิน 30 คน

Advertisement

"วิโรจน์"กังขา กกต.กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกซ่อม ส.ส.สมุทรปราการ เขต 5 ตั้งจัดเวทีปราศรัย โดยจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมการรับฟังไม่เกิน 30 คน

เมื่อวันที่ 16 ก.ค.นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สมุทรปราการ เขต 5 ของนายอิศราวุธ ณ น่าน พรรคก้าวไกลว่าในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ กกต. ได้กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งจัดเวทีปราศรัย โดยจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมการรับฟังไม่เกิน 30 คน เท่านั้น มาตรการในลักษณะนี้ เป็นการขัดขวางกระบวนการทางประชาธิปไตยที่สำคัญ ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะใช้การปราศรัย ในการนำเสนอนโยบาย และแนวทางในการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาตัดสินใจเลือกผู้แทนที่เหมาะสมที่สุด การบังคับใช้มาตรการในลักษณะนี้ ย่อมถูกตั้งคำถามจากสังคมว่า นี่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่ลงรับสมัครเลือกตั้งหรือไม่ พร้อมกับข้อสงสัย ในเรื่องของความบริสุทธิ์ยุติธรรมในการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้ นอกจากนี้ การใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินที่ปัจจุบัน มีจุดแตกต่างที่สำคัญจาก พ.ร.บ.โรคติดต่อ เพียงแค่ประการเดียว คือ การยกเว้นการรับผิดของเจ้าพนักงาน ให้ไม่ต้องรับผิด ทั้งทางแพ่ง อาญา หรือทางวินัย ซึ่งการยกเว้นนี้เอง อาจเป็นช่องว่างให้มีการดำเนินอย่างหนึ่งอย่างใด ที่กระทบกับความบริสุทธิ์ยุติธรรม ในการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้ได้ พรรคก้าวไกล จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่เขต 5  ซึ่งไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มาเป็นระยะเวลากว่า 40 วันแล้ว รวมทั้งจังหวัดอื่นๆ ที่มีสถิติบ่งชี้ว่า ความเสี่ยงในการระบาดของโรคนั้นอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้แล้ว

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลควรใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ในการควบคุมการระบาดอย่างเคร่งครัดแทน ซึ่งหากพบว่าเจ้าพนักงานมีพฤติกรรมประพฤติมิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ประชาชนจะได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ และฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งได้ โดยกระบวนการในการควบคุมการระบาดของโรค ที่ต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดนั้นครอบคลุมถึง กระบวนการคัดกรอง การเว้นระยะห่างทางสังคม การสวมใส่หน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์ป้องกันต่างๆ รวมทั้งการมีจุดบริการเจลแอลกอฮอล์อย่างทั่วถึง เป็นต้น และหากพื้นที่ในการจัดการปราศรัย มีพื้นที่กว้างขวางมากพอ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมการรับฟังไว้เพียงแค่ 30 คน ตามมาตรการที่ได้รับแจ้งจาก กกต.

นายวิโรจน์  กล่าวอีกว่า การควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพนั้นสามารถดำเนินการควบคู่ไปกับกระบวนการทางประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้ ซึ่งประเทศเกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ก็ได้ดำเนินการให้เห็นเป็นตัวอย่าง และได้รับการชื่นชมเป็นอย่างมากจากนานาอารยะประเทศมาแล้ว ทั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาล และ กกต. นั้นมีมุมมองอย่างไร ต่อการจัดการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม รวมถึงการจัดให้มีการเลือกตั้งซ่อม ภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ที่วันนี้ มี พ.ร.ก. ฉุกเฉินมีเพียงเงื่อนไขเดียว ที่แตกต่างจาก พ.ร.บ. โรคติดต่อ คือ การเอื้อให้เจ้าหน้าที่ และเจ้าพนักงานให้สามารถกระทำการที่ลุแก่อำนาจได้ โดยไม่ต้องรับผิดใดๆ ซึ่งการลุแก่อำนาจ จาก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ก็ปรากฎให้เห็นความเสียใจ ในกรณีที่ จ.ระยองมาแล้ว การจัดการเลือกตั้งภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นการออกกฎ ขึ้นมาซ้อนกฎอีกทีหนึ่ง ซึ่งหากยังคงดำเนินการจัดการเลือกตั้งในลักษณะนี้ต่อไป ก็จะเป็นที่ละอายต่อสังคมโลกประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน โดยหันมาใช้ พ.ร.บ. โรคติดต่ออย่างเคร่งครัดแทน โดยเฉพาะในพื้นที่เขต 5 สมุทรปราการ และขอเรียกร้องให้ กกต. ได้ทบทวนมาตรการต่างๆ ในกระบวนการหาเสียงเลือกตั้ง ให้มีความเป็นประชาธิปไตย ที่มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่เป็นที่คลางแคลงใจของประชาชน