เขตบริหารพิเศษฮ่องกงของจีน เริ่มบังคับใช้มาตรการเข้มงวดทางสังคม เมื่อวันพุธ (15 ก.ค.) เพื่อควบคุมการระบาดใหญ่ระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 โดยมาตรการรวมถึงการสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า เมื่ออยู่นอกบ้านในที่สาธารณะ รวมถึงการใช้บริการรถขนส่งสาธารณะ และภัตตาคารร้านอาหาร ซึ่งผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษปรับ สูงสุดถึง 5,000 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 20,315 บาท
ฮ่องกงตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ใหม่ 48 คนในวันอังคาร (14 ก.ค.) โดย 40 คนในจำนวนนี้เป็นการติดเชื้อในเขตดินแดน และนับตั้งแต่ปลายเดือน ม.ค.ต้นปี จนถึงขณะนี้ ฮ่องกงมีผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 1,589 คน เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยวันละกว่า 40 คน ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อ มีทั้งหมด 10 คน
แพทย์หญิงชวง ชุค-กวาน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอาวุโสของฮ่องกง กล่าวว่า ครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อใหม่ 48 คนในวันอังคาร ไม่ทราบว่าติดเชื้อจากที่ใด ถือเป็นเรื่องที่น่าวิตก เนื่องจากไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายดายในชุมชน
หลังมาตรการเริ่มบังคับใช้วันแรก ตั้งแต่เวลาผ่านเที่ยงคืนวันอังคาร มีรายงานว่าตำรวจฮ่องกงจับกุมชายวัย 64 ปี ที่จะใช้บริการรถไฟใต้ดิน ที่สถานีไท เหว่ย ในเขตนิวเทร์ริทอรีส์ แต่ไม่ยอมสวมหน้ากาก ตามคำร้องขอของเจ้าหน้าที่
นางแคร์รี่ แลม หัวหน้าคณะผู้บริหารเขตฮ่องกง กล่าวว่า ร้านอาหารทุกประเภทยังคงให้บริการรับประทานในร้านได้ ภายใต้กฎการเว้นระยะห่าง แต่ระหว่างเวลา 18.00 น. จนถึง 05.00 น.วันรุ่งขึ้นห้ามให้ลูกค้านั่งในร้าน ต้องเปลี่ยนเป็นแบบให้ลูกค้าซื้อกลับไปรับประทานที่บ้านเท่านั้น นอกจากนั้น ข้อจำกัดการรวมกลุ่มในสถานที่สาธารณะ จะลดจำนวนคนลงจาก 50 คน เหลือไม่เกิน 4 คน.