เกิดการยิงปะทะด้วยอาวุธหนัก รวมถึงรถถังและปืนใหญ่ 3 วันติดต่อกัน จนถึงวันอังคาร (14 ก.ค.) ระหว่างทหารกองทัพอาเซอร์ไบจานกับทหารอาร์เมเนีย ตามแนวเขตแดนร่วมระหว่าง 2 ประเทศเพื่อนบ้านแห่งเทือกเขาคอเคซัส ส่งผลให้สูญเสียหนักทั้ง 2 ฝ่าย
ทั้งอาเซอร์ไบจานและอาร์เมเนีย ต่างก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต จนกระทั่งโซเวียตแตกสลายในปี พ.ศ. 2534 จึงแยกตัวเป็นรัฐเอกราช แต่ทั้งคู่เคยเกิดสงครามนองเลือด เหนือพื้นที่นากอร์โน-คาราบัคห์ ในเทือกเขา กลายเป็นกรณีพิพาทที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจนถึงปัจจุบัน
นากอร์โน-คาราบัคห์ นานาชาติให้การยอมรับว่าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาเซอร์ไบจาน แต่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มคนเชื้อสายอาร์เมเนียน แต่การยิงปะทะล่าสุดตั้งแต่วันอาทิตย์ เกิดขึ้นในเมืองโตวัซ ที่อยู่ทางเหนือดินแดนพิพาท โดยทั้ง 2 ฝ่ายต่างกล่าวหาอีกฝ่าย ยิงกระสุนปืนใหญ่โจมตีพื้นที่พลเรือนของตน
กองทัพอาเซอร์ไบจานเผยว่า จนถึงวันอังคาร อาเซอร์ไบจานสูญเสียทหาร 11 นาย ประกอบด้วยทหารระดับสัญญาบัตร 6 นาย รวมถึงพลตรีโปลัด ฮาชิมอฟ และพันเอกอิลการ์ มีร์ซาเยฟ ส่วนกระทรวงกลาโหมอาร์มาเนียเผยว่า ทหารเสียชีวิตจากการยิงปะทะ 4 นาย รวมถึงพลตรีการูช ฮัมบาร์ดซูเมียน
ทางด้านนายดมิตรี เพสคอฟ โฆษกของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวในกรุงมอสโกว่า รู้สึก “วิตกอย่างยิ่ง” ต่อความรุนแรงที่ปะทุขึ้น และรัสเซียพร้อมจะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย นายเพสคอฟได้เรียกร้องคู่กรณีให้ใช้ความอดกลั้น และปฏิบัติตามพันธกรณี ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิง
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ออกแถลงการณ์ในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันจันทร์ (13 ก.ค.) ประณามด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สุด (condemns in the strongest terms)ต่อความรุนแรงตามแนวเขตแดนระหว่างประเทศ อาร์เมเนีย-อาเซอร์ไบจาน พร้อมกับเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายยุติการสู้รบ และยึดมั่นต่อข้อตกลงหยุดยิง.