รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19วันที่ 7 ก.ค.63 ซึ่งเป็นวันครบ1 สัปดาห์นับจากการคลายล็อกระยะที่5 ปรากฏว่าไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ หรือ 0 ราย ทั้งจากภายในประเทศ และผู้เดินทางกลับจากประเทศในสถานที่ควบคุมโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม ยอดสะสมผู้ป่วย 3,195 ราย จำนวนที่รักษาหายกลับบ้านแล้วทั้งสิ้น 3,072 ราย ที่ยังอยู่ในโรงพยาบาล 65 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม
ขณะนี้ไม่มีผู้ติดเชื้อจากภายในประเทศติดต่อกันแล้ว 43 วัน
ส่วนการติดเชื้อทั่วโลก เพิ่มขึ้นวันเดียว 182,490 ราย ยอดสะสมถึง 11,739,171 ราย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นอันดับ1 ทั้งผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต ล่าสุดผู้ป่วยสะสมถึง 3,040,833 เสียชีวิตรวม 132,979 ราย ทางด้านอาเซียน ยอดผู้ติดเชื้อสะสมของฟิลิปปินส์ขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 2 แซงหน้าสิงคโปร์ โดยเวียดนามก็มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14 ราย ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขเวียดนามรายงาน ว่าผู้ป่วยทั้งหมดที่พบเพิ่มขึ้น เป็นชาวเวียดนามที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ
การล็อกดาวน์ครั้งนี้ คาดว่าจะบังคับใช้ 6 สัปดาห์ ซึ่งจะมีผลกับประชากร 5 ล้านคน มีแนวปฏิบัติคล้ายการล็อกดาวน์ครั้งแรกเมื่อเดือนมี.ค.63 คือให้ออกจากบ้าน เฉพาะการทำงานที่ไม่สามารถทำจากที่บ้านได้ การซื้อหาสิ่งของจำเป็นเพื่อการอุปโภคบริโภค และการพบแพทย์หรือซื้อยารักษาโรคเท่านั้น ร้านอาหารให้บริการเฉพาะซื้อกลับบ้าน ร้านทำผม สถานบันเทิง และฟิตเนส ปิดบริการ การพบปะนอกเคหสถานได้ไม่เกิน 2 คน และขยายเวลาปิดเรียนออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยให้สถาบันการศึกษาพิจารณาจัดการเรียนการสอนออนไลน์ตามความเหมาะสม
แต่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐ ( ไอซีอี ) ออกแถลงการณ์ว่า ชาวต่างชาติ ซึ่งถือวีซ่า "เอ็ม-1" หรือผู้เรียนวิชาชีพและการฝึกอบรมตามหลักสูตรเฉพาะทาง กับวีซ่า "เอฟ-1" สำหรับนักเรียน นักศึกษาส่วนใหญ่ อาจต้องเดินทางออกจากสหรัฐในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึง ส่วนผู้ถือวีซ่าดังกล่าว แต่ยังอยู่นอกสหรัฐ อาจถูกปฏิเสธการเข้าเมือง หากสถาบันการศึกษาที่เป็นต้นสังกัดจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์อย่างเดียวในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ รายงานข่าวแจ้งว่า แถลงการณ์ดังกล่าว เป็นการเพิ่มแรงกดดันให้กับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในสหรัฐ ที่ส่วนใหญ่ประกาศให้การเรียนการสอนประจำภาคฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นแบบออนไลน์ทั้งหมด เพื่อลดความเสี่ยงของการติดและแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความว่า โรงเรียนทุกแห่งในสหรัฐต้องเปิดเรียน ในฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึง
สำหรับในประเทศไทย แม้สถิติผู้ติดเชื้อเป็น 0 ถึง 43 วัน มีการผ่อนคลายมาตรการป้องกันถึงระยะที่ 5 แต่บุคลากรในวงการสาธารณสุขยังย้ำเสมอว่าอย่าการ์ดตก โดย นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคระบุว่า สถานการณ์ทั่วโลกยังมีแนวโน้มมีผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายประเทศกลับมาระบาดระลอก 2 เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย โครเอเชีย
นพ.โสภณ ระบุว่า การไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศต่อเนื่องเป็นวันที่ 43 และจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ในอันดับที่ 99 ของโลก มาจากความร่วมมือร่วมใจของประชาชน ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม โรคโควิด 19 อาจกลับมาระบาดระลอกใหม่ได้ หากคนไทยประมาท โดยอ้างถึงผลสำรวจของสวนดุสิตโพล เมื่อวันที่ 1-4 กรกฎาคม 2563 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,109 คน พบว่า หลังผ่อนคลายมาตรการประชาชนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ลดลง ถึงร้อยละ 52.93 กังวลเหมือนเดิมร้อยละ 29.94 ไม่กังวลเลยร้อยละ 12.44 และกังวลมากขึ้นร้อยละ 4.69
การคลายล็อกระยะที่ 5 เป็นการเปิดให้กิจการ กิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สูงมาก อาทิ สถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานอาบอบนวด ร้านเกม
การติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหาการจัดการ บางประเทศ เช่นออสเตรเลีย พบผู้ป่วยใหม่ 191 คนในรอบ 24 ชม.สูงสุดนับแต่พบรายแรกในเดือน ม.ค.63 แต่การสอบสวนไม่พบแหล่งที่มาของการติดเชื้อในผู้ป่วยใหม่ 153 รายในรัฐวิกตอเรีย ทำให้เกิดความกังวลว่า การติดเชื้อภายในชุมชนจะอยู่ในระดับสูง ทางการจึงประกาศล็อกดาวน์เมืองเมลเบิร์น เมืองเอกของรัฐวิกตอเรียซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของออสเตรเลียรองจากซิดนีย์ ตั้งแต่เวลา 23.59 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันอังคารที่ 7 ก.ค. ( 20.59 น. ตามเวลาในประเทศไทย ) และปิดพรมแดนทางเหนือติดกับรัฐนิวเซาท์เวลส์
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า การรับนักเรียนและนักศึกษาต่างชาติสร้างรายได้เข้าประเทศเกือบ 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 1.39 ล้านล้านบาท ) ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจีน อินเดีย เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย และแคนาดา
ผอ.กองควบคุมโรคติดต่อทั่วไป กล่าวอีกว่า กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือห้างร้าน ผู้ประกอบการ เคร่งครัดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ เช่น ทำความสะอาดสถานที่ พื้นผิวที่มีผู้สัมผัสบ่อย จัดพื้นที่ ลดความแออัด จัดจุดคัดกรองอุณหภูมิร่างกาย จุดล้างมือ มีระบบระบายอากาศถ่ายเท ประชาชน ก็ขอให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน การเว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น ล้างมือบ่อย ๆ งดการนำมือมาสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก เลี่ยงการไปสถานที่แออัดคนรวมอยู่มาก และลงทะเบียน เข้า-ออก พร้อมประเมินกิจการ สถานที่ ในแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งที่เข้าใช้บริการในสถานที่ต่างๆ เพราะหากพบผู้ติดเชื้อ กรมควบคุมโรคจะใช้เป็นข้อมูลในการติดตามผู้สัมผัสเพื่อนำเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคต่อไป
โดยย้ำว่า โรคโควิด 19 จะกลับมาอีกหรือไม่ขึ้นอยู่กับความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทุกคน
ทั่วโลกที่ไหน ๆ การติดเชื้อยังเพิ่มต่อเนื่อง การจะรักษาสถานะความเป็น 0 ของไทย จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งถ้าพลั้งเผลอ คลายกังวล ลดความระวังเรื่องร้ายจะกลับมาได้ ใส่หน้ากากเข้าหากันต่อไปละกัน!!