“ณัฐพงษ์” อัดงบดิจิทัลปี 64 นำเงินไปใช้ไม่เกิดประโยชน์

2020-07-02 16:35:29

“ณัฐพงษ์” อัดงบดิจิทัลปี 64 นำเงินไปใช้ไม่เกิดประโยชน์

Advertisement

“ณัฐพงษ์” อัดงบดิจิทัลปี 64 เหมือนนำเงินไปติดตั้งระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าที่มีหน่วยความจำเพียง 84,000 ไบท์   ไม่เกิดผลประโยชน์อะไรเลย แนะลงทุน 3 Digital Platform ครั้งเดียวครบจบ ประชาชนได้ประโยชน์ยาว

เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล อภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ในด้านงบประมาณที่เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล  ว่า หลังได้ดูการจัดงบในปีนี้ เปรียบเทียบได้กับการนำเงินไปติดตั้งระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าที่มีหน่วยความจำเพียง 84,000 ไบท์ ที่ไม่เกิดผลประโยชน์อันใดเลย และเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลยังไม่ได้นำข้อสังเกตของพวกเราไปปฏิบัติ สิ่งที่เป็นเรื่องน่าอนาถใจประการแรกที่สุด คือการที่ไฟล์ .pdf ของเล่มงบประมาณปี 2564 ไม่สามารถกด ctrl+f เพื่อค้นหาข้อความในเอกสาร 2 หมื่นกว่าหน้า 39 ไฟล์ได้ ส่วนงบประมาณปี 2563 ผ่านมาแล้ว 1 ปีสำนักงบประมาณยังไม่ยอมส่งไฟล์ excel มาให้เรา ทั้ง ๆที่ไม่ใช่ข้อมูลที่มีชั้นความลับอะไร

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า การกล่าวอ้างว่ารัฐบาลมุ่งเน้นพัฒนาเศรษกิจดิจิทัล สวนทางกับความเป็นจริง เช่น เรื่องการจัดประชุมออนไลน์ที่ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ในอนาคตอันใกล้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกว่า 7,850 แห่งทั่วประเทศต้องมาชี้แจงงบประมาณโดยตรงที่สภาฯ  แต่ตราบใดที่สภายังไม่สามารถจัดประชุมกรรมาธิการและลงมติแบบออนไลน์ได้ระหว่างที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สภาอาจจะไม่สามารถอนุมัติงประมาณได้ทันเดือนตุลาคมนี้ แบบนี้ใครเดือดร้อน ประชาชนใช่หรือไม่

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ประเด็นใกล้ตัวที่เห็นกันจะ ๆว่าเป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน แต่รัฐบาลก็ยังไม่จัดงบประมาณด้านดิจิทัลลงไป ก็คือระบบของสำนักงานประกันสังคม ผ่านไปแล้ว 1 ปีสำนักงานประมาณก็ยังไม่ได้จัดงบประมาณลงไปในการแก้ไขระบบ sapiens ของสำนักงานประกันสังคม ที่การบันทึข้อมูล 1 ครั้งต้องรอให้เครื่องตอบกลับมาเป็นเวลาประมาณ 10-30 วินาที ระบบ sapiens เป็นระบบโบราณ ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ dos ที่เกิดมาพร้อมกับตนเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว งบดิจิทัลที่จะเอาไปอัพเกรดให้สำนักงานประกันสังคม ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพี่น้องประชาชนอยู่ที่ไหน ในส่วนของแรงงานนอกระบบ ก็เดือดร้อนจากระบบเราไม่ทิ้งกัน ซึ่งมีระบบ AI-if else ที่เห็นได้ชัดว่าสอบตกในการคัดกรองที่จ่ายเงินเยียวยา จนเกิดความผิดพลาดและไม่เป็นธรรม แต่ก็เข้าใจได้ว่าด้วยความที่รัฐบาลเป็นระบบปฏิบัติการ os 84,000 bite นี้ ก็คงใช้ได้แค่ AI if-else เท่านั้น

นายณัฐพงษ์ อภิปรายต่อไป ว่าหากรัฐบาลยังคงจัดงบประมาณแบบดิจิทัลแบบที่ผ่านมา เราก็คงจะได้งบประมาณแบบคงรูปที่สิ้นหวัง เพราะจัดกี่ทีก็จะให้ผลเหมือนเดิม แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลก็คือแผนที่ไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง ตนไม่ได้กล่าวหารัฐบาลเกิดจริงแต่อย่างไร ถ้าเราลงไปดูการจัดสรรงบประมาณในกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเห็นได้ว่ากระทรวงดิจิทัลฯได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.5 เป็นอัตราที่สูงที่สุดในการจัดสรรงบประมาณเพิ่มให้กับระดับกระทรวง และยังมีการตั้งแผนบูรณาการดิจิทัลขึ้นมาอีกหนึ่งแผ่น งบประมาณรวมกันราว 2,000 ล้านบาท หากดูเพียงผิวเผินก็จะเห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเม็ดเงินก้อนใหญ่นี้เป็นเพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่ เป็นโครงการเดิมในปี 2563 มาจับมัดรวมในแผนบูรณาการของปี 2564 เท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าจะดูกันจริงๆ ต้องดูว่ารัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมลงไปในสามส่วนนี้เท่าไหร่ คืองบประมาณของ DTA รวมกับงบของแผนบูรณาการ รวมกับงบของกระทรวงดิจิทัลฯ ที่ในปี 2563 รวมกันเท่ากับ 9,900 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงบประมาณปี 2564 เท่ากับว่ารัฐบาลจัดสรรงบเพิ่มลงไปเพียง 1.4 พันล้านเท่านั้นเอา ไม่ใช่ 1.8 พันล้านที่แสดงอยู่ในเล่มงบประมาณ และเกือบทั้งหมดของงบประมาณส่วนเพิ่ม ถูกนำไปใช้ใน ASEAN Digital Hub ถึง 1.2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการลากสายเคเบิลใต้น้ำเพื่อเชื่อมโยงเครือข่าย backbone internet ไปยัง Digital Park ที่ตั้งอยู่ใน EEC โครงการในฝันของรัฐบาลที่จะสร้าง smart city แต่ดูท่าจะไปไม่รอด เพราะตั้งแต่เปิดประมูล ไม่มีเอกชนรายใดเข้ามายื่นซองประมูลเลยตั้งแต่ช่วงกลางปีก่อนที่ผ่านมา จนรัฐบาลต้องผ่อนผันเงื่อนไขเพื่อให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแก่นักลงทุน

“เพราะฉะนั้นเราต้องมาช่วยกันตั้งคำถามว่ารัฐบาลกำลังจะเอาเม็ดเงินส่วนเพิ่มเกือบทั้งหมดนี้ไปทำเพื่อใครกันแน่ ในเมื่อ 70% ของประชากรไทยทั้งหมดสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้แล้ว อยู่ในลำดับต้นๆของโลก แต่เหตุใดรัฐบาลจึงจงใจเอางบเกือบทั้งหมดที่เป็นส่วนเพิ่มไปลงทุนในโครงการ ASEAN Digital Hub เพียงโครงการเดียว ซึ่งเป็นการลงทุนทางโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอีกเช่นกัน หรือจริงๆแล้วรัฐบาลเพียงต้องการต่อ direct route ไปยัง Digital Park ของ EEC เท่านั้น” นายณัฐพงษ์กล่าว

นายณัฐพงษ์ยังกล่าวต่อ ว่าเห็นแบบนี้พวกเราคงบอกเป็นอื่นไม่ได้ ว่ารัฐบาลกำลังจะนำเม็ดเงินงบประมาณนี้ไปตอบโจทย์ให้กับนายทุน ไม่ใช่ประชาชน ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเราอยากเห็น เพราะพวกเราอยากเห็นการลงทุนที่เกิดประโยชน์กับคนตัวเล็กตัวน้อย เงิน 1.4 พันล้านบาทนี้หารประชากร 70 ล้านคนจะตกคนละ 20 บาท นำภาษีจากทุกคนเพียงคนละ 20 บาทไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นดิจิทัลไอดี, แพลทฟอร์มข้อมูลเปิด (open dadta) และรัฐเปิดเผย (open government) ผมขอเชิญชวนทุกท่านมาติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ให้กับประเทศ ระบบปฏิบัติการที่มีชื่อว่า MFP os 4.0 ที่พวกเราเชื่อว่าจะขับเคลื่อนให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นได้ ถ้าเราเป็นผู้จัดสรรงบประมาณ เราจะนำเม็ดเงินภาษีก้อนเดียวกันนี้ไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล หรือ Digital Platform เพื่อทุกคนขึ้นมา ตัวแรกที่เราอยากนำเม็ดเงินไปลงทุนคือ Digital ID บริการสาธารณขั้นพื้นฐานที่รัฐจัดให้ประชาชนทุกคนอยู่ในระบบทะเบียนราษฎร์ สามารถเข้าถึงและยืนยันตัวบุคคลได้อย่างปลอดภัยในโลกดิจิทัล โดยเอกชนสามารถใช้ Digital ID เพื่อยืนยันตัวบุคคลภายใต้ควาามยินยอมของเราก่อนขอข้อมูลไปใช้ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างปลอดภัย และทำให้เราไม่ต้องกรอกแบบฟอร์มอีกต่อไป Digital ID เป็นบันไดขั้นแรกในการดึงอำนาจทางอธิปไตยข้อมูลส่วนบุคคลของเรากลับคืนมาจาก Big 4 Tech Giant อย่าง Google, Amazon, Facebook เพราะปัจจุบันข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเราได้กลายไปเป็นสินค้าของพวกเขาแล้ว

ประการที่สอง open data ที่ทั่วถึงและใช้งานได้จริง นำมาเปิดเผยในรูปแบบข้อมูลที่เครื่องสามารถอ่านได้ เช่นข้อมูลการเดินสายรถเมล์หรือขนส่งสาธารณะในจังหวัดต่างๆ ให้เอกชนสามารถนำไปต่อยอด อ่านออกได้ เครื่องเข้าใจ Digital Platform นี้จะเข้าไปแปลงสภาพข้อมูลสาธารณะที่ล่องลอยอยู่ในอากาศให้มาเป็นสินทรัพย์ที่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ในอนาคต ประการสุดท้าย open government ที่มีทั้งความโปร่งใสและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนไปพร้อมๆกัน เราอยากเห็นการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐตลอดทั้งกระบวนการตามมาตรฐาน OCDS มาตรฐานที่นานาชาติให้การยอมรับเพื่อลดและป้องปรามการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราอยากเห็นการพัฒนา platform CNS กลางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ช่วยจัดเก็บข้อมูลงบประมาณรายจ่ายและการจัดเก็บรายได้ให้กับท้องถิ่นย่างเป็นระบบ แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นไปจัดทำการจัดทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมาตัดสินใจใช้เม็ดเงินในการเลือกใช้งบประมาณได้

“พวกเรายืนยันว่ารัฐไทยมีศักยภาพและทรัพยากรเพียงพอที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้จากภาษีของคนไทยทุกคน รวมกันแค่คนละ 20 บาท digital platform ที่เป็นตัว software ที่ลงทุนเพียงครั้งเดียวแต่จะเกิดเป็นสินทรัพย์ที่ทุกคนสามารถเข้าใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ในระยะยาว ไม่ใชการลากสายเคเบิลแบบที่รัฐบาลทำให้นายทุน และการจัดงบประมาณแบบคงรูปแบบนี้ในปี 64 ทำให้ผมไม่สามารถสนับสนุนการผ่านร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 นี้ไปได้” นายณัฐพงษ์ กล่าว