เจอมรสุมครั้งใหญ่ ? “แตงโม” จูงพ่อ “ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน” ย้อนเรื่องเศร้าในชีวิต

2020-06-15 11:10:30

เจอมรสุมครั้งใหญ่ ? “แตงโม” จูงพ่อ “ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน” ย้อนเรื่องเศร้าในชีวิต

Advertisement

สุดกดดันต้องเดินภายใต้เงาพ่อ “แตงโม” ควง “ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน” เผยจุดเปลี่ยน! หลังมรสุมชีวิตครั้งใหญ่?



เป็นคู่ซี้ พ่อลูกสายฟุตบอล "แตงโม พงษ์พิสุทธิ์" และ "คุณพ่อตุ๊ก ปิยะพงษ์" ที่วันนี้มาเผยจุดเปลี่ยนหลังมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ ทั้งเรื่องงานน้อยลง เรื่องหยาบคายกับภรรยา ผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow พร้อมเผยมีคุณพ่อเป็นนักฟุตบอลระดับตำนานของเมืองไทยขนาดนี้ แตงโมกดดันบ้างหรือเปล่า ที่ต้องเดินใต้เงาพ่อ




ช่วงนี้ไม่ได้เจอหน้าจอ ไปทำอะไรอยู่บ้าง ?
คุณพ่อปิยะพงษ์ : หลวมตัวไปทำรายการกับแตงโมในยูทูบครับ ในช่วงที่มีโควิดระบาดก็ต้องเปลี่ยนวิธีการ เปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนรูปแบบการบริหาร จัดการ วิธีการทำงานทั้งหมด เพราะว่าเราไม่สามารถออกไปนอกบ้านได้





ต้องบอกเลยว่าพ่อตุ๊กคือตำนานฟุตบอลที่ยังมีลมหายใจอยู่ ตอนนั้นฉายา เดอะตุ๊ก ดังขนาดไหน ?
คุณพ่อปิยะพงษ์ : ผู้สื่อข่าวเป็นคนตั้งให้มากกว่า เดอะตุ๊กน่าจะเป็นช่วงวัยกลางคน และอาวุโสมากขึ้นก็เลยเติมเดอะเข้าไป

แตงโมรู้ไหมสมัยก่อนพ่อดังขนาดไหน ?
แตงโม : ผมเกิดมาไม่ทันที่คุณพ่อเตะฟุตบอล อยู่เกาหลี เตะทีมชาติ คือไม่ทัน มาทันช่วงปลาย ประมาณว่าใกล้จะเลิกเล่นฟุตบอลแล้ว มันก็เกิดไอเดีย เกิดคำถาม จริงๆ แล้วไม่ใช่ผมคนเดียวเท่านั้น ผมว่าน้องๆ สมัยใหม่ อาจจะรู้จักคุณพ่อ แต่ว่าไม่รู้ว่าปิยะพงษ์เล่นเป็นยังไง มันก็เลยทำให้เกิดไอเดียว่าผมอยากรู้ แล้วก็ถามแทนทุกคนเลยว่าปิยะพงษ์เก่งจริงหรอ



มีพ่อที่ดังระดับประเทศ ตอนโตกดดันไหม ?
แตงโม : เด็กๆ มันไม่รู้จักคำว่ากดดัน แต่ก็รู้ว่าพ่อเราเป็นนักกีฬาทีมชาติ สำหรับเราคนก็จะมาพูดอยู่แล้วว่าพ่อเล่นเก่ง เล่นเก่งเท่าพ่อหรือเปล่า แต่ผมมองตรงนั้นเป็นแรงผลักดันมากกว่า คือจะบอกว่าต้องเล่นเก่งเท่าพ่อมันก็ดูจะกดดันตัวเองมากเกินไป ผมเป็นเด็กที่คิดว่าเอาพลังตรงนั้นที่เขาพูดมา แล้วพยายามจะก้าวผ่านตรงนั้นไปให้ได้ดีกว่ามานั่งคิดมาก



คุณพ่อมีความรู้สึกอยากให้ลูกเดินตามการเป็นนักบอลแบบเราไหม ?


คุณพ่อปิยะพงษ์ : เป็นตามธรรมชาติเลยครับ ลูกของนักฟุตบอลส่วนใหญ่ก็คิดกันแบบนี้ ไม่ว่าในระดับโลก หรือในระดับเอเชีย หรือเขาเรียกว่าวัฒนธรรมทางจิตใจ แล้วแตงโมเขาบอกว่าทั้งชอบและรัก ตอนนั้นผมก็เลยขายตึก ผมซื้อไว้เผื่อตอนแก่ ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว ส่งเขาไปเรียนครับ

ขายตึกไป เพื่อส่งเขาไปเรียนที่ไหน ?
คุณพ่อปิยะพงษ์ : ที่อังกฤษครับ

แตงโม : แต่ว่าผมไป ผมก็ไปเริ่มเล่นฟุตบอลที่นั่น โชคดีเหมือนกัน ตอนแรกถ้าไปแล้วคัดไม่ติด คุณพ่อน่าจะต้องจ่ายเงินปีละหลายล้าน แต่ก็เบาภาระไปได้บ้าง เพราะไปคัดโรงเรียนติด ได้เรียนฟรี แล้วมีค่าเดินทางให้ด้วยนิดหน่อย ส่วนค่ากินคุณพ่อออกไป แต่ว่ามันก็มีอาการบาดเจ็บ มันก็เจ็บนู่น เจ็บนี่ เจ็บเยอะไปหมดในเส้นทางของนักกีฬา พอช่วงเจ็บผมก็มีโอกาสลองงานใหม่ๆ เข้าวงการบันเทิงบ้าง มาทำนู่น ทำนี่บ้าง แล้วก็เลยเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนนิดนึง มันเหมือนคนอยากจะฝัน อยากเป็นนักกีฬา อยากจะพุ่งไปข้างหน้า แต่ผมรู้อยู่แล้ว ตอนนั้นประมาณ 20 ว่าคุณพ่อมองเห็นแล้วว่าเราจะไปได้ระดับทีมชาติไหม จะเป็นเบอร์ 1 ไหม หรือจะติด 11 ตัวจริงไหม แต่เขาไม่ได้พูดไง เพราะมันดับฝันเด็ก ผมต้องรู้ด้วยตัวเอง





คุณหล่อด้วย คุณก็เลยมาทำงานสายบันเทิงดีกว่า ?
แตงโม : มันไม่เกี่ยวหรอกครับ ฟุตบอลเขาไม่ให้เล่นต่อครับ เมื่อกี้ถามพ่อว่าพ่อเก่งจริงไหม ถ้ากลับมาถามผมว่าผมเก่งจริงไหม ผมตอบได้ง่ายๆ เลยเก่ง ปัจจุบันนี้ผมจะเลิกหรอ ทุกคนจะได้หายสงสัย

ในจุดเปลี่ยนนั้นเราคิดไหมว่าคุณพ่อจะเสียใจ ?
แตงโม : ไม่หรอกครับ เขาน่าจะออกแนวดีใจเลย ผมรู้ด้วยตัวเองว่านั่นไม่ใช่เวย์ของผม ผมไม่ใช่คุณพ่อที่เป็นระดับโลก ผมว่ามันไม่ใช่ทางของผม ผมไม่ฝืน ผมอยากจะหาเวย์ตัวเองที่เดินไปได้สุดทาง

คุณพ่อ คุณลูก มีทะเลาะกันบ้างไหม ?
แตงโม : น้อยมากเลยครับ คุณพ่อไม่เคยบังคับผมเลย



สมัยก่อนเจอแตงโมเยอะมาก แล้วมันค่อยลดลง เพราะอะไร ?
คุณพ่อปิยะพงษ์ : เส้นด้ายระหว่างความก้าวร้าวกับความตลกมันใกล้กันนิดเดียว อยู่ที่มุมมองของผู้คน แต่ช่วงนั้นเผอิญแตงโมออกไปมันดูเหมือนมีความก้าวร้าวมากกว่าความน่ารัก

แตงโม : ตอนแรกก็คือเรื่องของคาแรกเตอร์ คือผมก็พยายามสร้างตัวตนออกมา แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่าผู้ชมต้องการอะไร บางทีอ่จจะพูดเยอะ บางทีอาจจะตะโกนออกไปทั้งๆ ที่เราติดไมโครโฟนอยู่แล้ว แล้วบางทีเราอาจจะไม่ได้ถูกใจใครร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็เป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมา เพื่อให้เป็นแตงโมเมื่อก่อน ซึ่งพอมาในปัจจุบันเราก็ได้อ่านคอมเมนต์ เราก็เคยคิดนะว่าเราไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ แต่ถ้าเราไม่ทำแบบนั้น มันอาจจะไม่มีงานเลยก็ได้ ผมก็เลยลองนึกย้อนกลับไปว่าเมื่อก่อน เราเคยทำอะไรมา มันก็เป็นแต่ละช่วง แต่ละเวลาที่กระแสมันเป็นแบบไหน ซึ่งผมเลือกที่เป็นแบบนั้น แต่พอมานั่งคิดเป็นแบบนั้นมันไม่ค่อยเวิร์ก

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งที่อยากกลับไปแก้คืออะไร ?
แตงโม : ผมไม่เคยอยากกลับไปแก้อะไร แต่เราจำเอาไว้ว่าเราผิดพลาดอะไร แล้วเราเอากลับมาเป็นบทเรียน เราทำวันนี้ดีกว่า เพื่อให้วันพรุ่งนี้มันดีขึ้น ซึ่งผมได้ฟังคนหนึ่ง ชีวิตผมเปลี่ยนเพราะคนนี้เลย ฌอน บูรณะหิรัญ ผมรู้สึกว่าการที่คนเรามองบวกได้ มันจะทำให้ชีวิตก้าวหน้า



แสดงว่าตอนนี้คิดได้แล้ว ...
แตงโม : คิดได้ดิ เขาบอกว่ามนุษย์จะคิดไม่ได้จนถึงจุดที่ต่ำ

อีกหนึ่งจุดที่มันผลักให้หลังติดกำแพงก็คือช่วงที่เคยแต่งงาน 8 เดือนแล้วเลิกเลย ช่วงนั้นมรสุมชีวิตเยอะไหม ?
แตงโม : จริงๆ แล้วมันเป็นช่วงชีวิต ทุกคนมีขึ้นมีลง มันไม่มีใครลงตลอด และขึ้นตลอด แต่ว่าตอนที่เราลง เราทำยังไงให้เราดีดตัวเองขึ้นมาให้ได้ ผมบอกได้เลยไม่ต้องมีสูตรอะไรเยอะแยะ คุณแค่พัฒนาตัวเอง

คุณพ่อมีอะไรอยากจะสอนลูกไหม ?
คุณพ่อปิยะพงษ์ : ไม่มีแล้วครับ เพราะประสบการณ์เป็นสิ่งที่สอนเขาอยู่แล้ว ทุกวันนี้เขาคิดได้ ใครที่คิดได้ก่อนก็ทำให้ทุกอย่างมันมาเร็วขึ้น ผมไม่เคยการันตีเขามาก่อนในชีวิต การันตีได้เลย เป็นคนดีจริงๆ




คลิปสัมภาษณ์ แตงโม พงษ์พิสุทธิ์-ตุ๊ก ปิยะพงษ์