คำต่อคำ “เปิ้ล หัทยา”เปิดใจเศร้าสูญเสีย "ตั้ว ศรัณยู"กะทันหัน (คลิป)

2020-06-11 22:35:32

 คำต่อคำ “เปิ้ล หัทยา”เปิดใจเศร้าสูญเสีย "ตั้ว ศรัณยู"กะทันหัน (คลิป)

Advertisement

 “เปิ้ล หัทยา”เปิดใจเศร้าสูญเสีย "ตั้ว ศรัณยู"กะทันหัน  พร้อมทำงานหนักเป็นเสาหลักครอบครัว

หลังจากที่ผู้กำกับและอดีตพระเอกชื่อดัง "หนุ่มตั้ว-ศรัณยู วงษ์กระจ่าง" ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งตับระยะสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2563 อย่างกะทันหัน สร้างความตกใจแก่คนบันเทิงและครอบครัวเป็นอย่างมาก ล่าสุด "เปิ้ล-หัทยา วงษ์กระจ่าง" และ "พี่เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์" ้พี่ชาย ได้ออกมาเผยถึงการสูญเสียในครั้งนี้เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.63

เปิ้ล : ก่อนอื่นเปิ้ลอยากขอโทษทุกคนนะคะที่อาจจะไม่ได้อธิบายอะไรเลยในช่วงที่ผ่านมา เพราะตัวพี่ตั้วเองก็คิดว่าเขาอยากที่จะดูแลสุขภาพของตัวเองก่อน คือเขามองว่ามันเป็นแค่เรื่องสุขภาพก็เลยไม่ได้เปิดเผยหรือไม่ได้บอกใคร ซึ่งหลายๆคนก็น่าจะทราบกันดีว่าก่อนหน้านี้พี่ตั้วเขาเคยมีอาการเจ็บหลัง และพอได้ทำการตรวจก็พบว่ามีกระดูกข้อที่ 3 บริเวณกระดูกสันหลังยุบลงไป คุณหมอก็เลยทำการตรวจอย่างละเอียดเพื่อดูว่ากระดูกที่ยุบลงมานั้นมันมีสาเหตุมาจากอะไร

ตอนแรกก็เกือบจะทำการผ่าตัดแล้วนะคะ แต่พอคุณหมอลองพิจารณาดูอย่างละเอียดเขาก็รู้สึกว่ากระดูกบริเวณอื่นยังแข็งแรงดีอยู่ ดังนั้นมันเลยทำให้เขาสงสัยว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร และที่สำคัญมันมีอาการของลิ่มเลือดด้วย สุดท้ายเขาก็เลยแนะนำว่าให้ตรวจร่างกายอย่างละเอียดดีกว่าเพื่อที่จะได้รู้ว่าลิ่มเลือดมาจากไหน ปรากฎว่าหลังจากนั้นคุณหมอก็เรียกเราไปคุย และก็บอกข้อมูลกับเราว่าค่าตับของพี่ตั้วสูงมาก เราเคยทราบมาก่อนหรือเปล่าว่าตับพี่ตั้วมีปัญหา ตอนนั้นเราก็บอกไปตามตรงค่ะว่าเราทราบ เพราะพี่ตั้วเขาเป็นไวรัสตับอักเสบบีมานานแล้ว เป็นตั้งแต่ก่อนที่เราจะแต่งงานซะอีก แต่ที่ผ่านมาเขาสามารถดูแลตัวเองได้ และเขาดูแลตัวเองมาตลอด เขาเช็กร่างกายตลอด แต่อาจจะมีแค่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่เขาไม่ได้เช็กร่างกาย ซึ่งมันก็กลายเป็นว่าสิ่งที่อยู่ในตับของเขามันโตขึ้น จนกระทั่งมันทำให้ไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์และเป็นมะเร็งในที่สุด คือเรารับรู้กันมาตั้งแต่แรกนะคะ แต่ด้วยความที่พี่ตั้วเขาก็รู้สึกว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ทั้งๆที่เขาดูแลสุขภาพอย่างดีมาโดยตลอด ตรวจเช็กร่างกายสม่ำเสมอ แต่สุดท้ายแล้วเชื้อมันก็ลามมาที่กระดูก จากกระดูกข้อที่3 ก็ลุกลามขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงสะบัก ซึ่งเขาก็รักษาตัวมาเรื่อยๆ ค่ะ


ตอนที่ตรวจพบมะเร็ง คุณหมอบอกว่าเป็นระยะที่เท่าไหร่ ?

เปิ้ล : ตอนที่ไปโรงพยาบาล ไปตรวจกระดูก คุณหมอบอกว่าน่าจะอยู่ในระยะที่ 3 ค่ะ และน่าจะยังรักษาได้ คือคุณหมอก็จะพยายามให้ยาตัวที่สามารถดูแลตับ รวมถึงฉีดยาอีก 6 เข็ม ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่าใช้ได้เลยค่ะ เพราะพี่ตั้วสามารถออกไปทำงานได้อีกครั้ง ออกไปกำกับละครที่เขาทำค้างอยู่ และก็เริ่มเปิดละครเรื่องใหม่ด้วย จนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกปวดบริเวณสะบักและเอว ก็เลยทำให้ต้องกลับไปหาคุณหมออีกครั้ง ซึ่งในครั้งนั้นคุณหมอก็ลงความเห็นว่าควรจะต้องพัก เนื่องจากกระดูกของเขาทรุดเพิ่ม เราจึงเข้าสู่กระบวนการฉายแสง แต่ด้วยความที่ตับมันอยู่ใกล้กับท้องอยู่ใกล้กับกระเพาะ เลยทำให้เวลาพี่ตั้วทานอาหารเขารู้สึกพะอืดพะอม ไม่ค่อยอยากทานอาหารสักเท่าไหร่ ประกอบกับเขามีภาวะแคลเซียมสูง ดังนั้นเมื่อแคลเซียมสูงมันก็จึงไปทำลายระบบความคิด ระบบการพักผ่อน และทำให้เขาเริ่มไม่อยากนอนค่ะ

แสดงว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่พี่ตั้วอาการดีขึ้น ?

เปิ้ล : ใช่ค่ะ ตอนที่เขาเข้าไปรักษาตัวครั้งแรกเมื่อช่วงประมาณเดือน ต.ค.อย่างที่ทราบข่าว ตอนนั้นเขายังแค่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนเพลีย เดินได้ช้าๆ แต่พอเข้าสู่เดือน ก.พ. เขาเริ่มแข็งแรงขึ้น เริ่มกลับมาออกกองได้ เขาไปออกกองอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่สุดท้ายอาการของเขาก็เริ่มทรุด เริ่มเจ็บสะบัก เจ็บเอว บวกกับมันเป็นจังหวะที่ทุกคนต้องเจอกับโควิด-19 พอดี เราก็เลยไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใคร และก็อยากให้ทุกคนหันไปโฟกัสดูแลตัวเองกันดีกว่า ขนาดเพื่อนฝูงที่เจอกันเราก็ไม่ได้บอก ถึงแม้จะมีคนทักว่าทำไมพี่ตั้วดูผอมลง แต่พี่ตั้วก็ไม่ได้พูดหรือเล่าเรื่องนี้กับใคร เพราะเขามองว่าทุกคนต่างก็เจอภาวะความเครียดกันอยู่แล้ว ดังนั้นพอมันเป็นเรื่องสุขภาพของเขา เขาก็แค่อยากดูแลตัวเองดีกว่า


ล่าสุดพี่ตั้วเข้าโรงพยาบาลเมื่อไหร่ ?

เปิ้ล : พอเขาเริ่มทานอะไรไม่ค่อยได้ น้ำหนักเริ่มลดลง และมีภาวะแคลเซียมสูง ถึงขนาดเวลาที่เขาตื่นเขาก็จะเริ่มพูดว่ากองถ่ายมาพร้อมหรือยัง จะเริ่มถ่ายหรือยัง วันนี้กี่คัท กล้องกี่ตัว คือเขาเริ่มรู้สึกคิดถึงงานมาก จนเราต้องบอกเขาว่า ตอนนี้เขาอยู่ที่บ้าน เขากำลังพักผ่อนอยู่ตามคำแนะนำของหมอ เขาต้องพัก 6 เดือน ถึงจะกลับไปทำงานได้ แต่มันเหมือนเขารู้สึกว่าเขาออกกองอยู่ตลอดเวลา ท้ายที่สุดแล้วเราก็เลยตัดสินใจว่าไปหาคุณหมอดีกว่า เราเพิ่งเข้าไปโรงพยาบาลกันเมื่อวันพุธที่ผ่านมาเองค่ะ

อาการตอนนั้นหลังจากที่ได้ไปพบคุณหมอเป็นอย่างไรบ้าง ?

เปิ้ล : หลังจากทำการเอ็กซเรย์ปอดคุณหมอก็อธิบายว่า จากเชื้อที่เคยมีอยู่ที่ปอดนิดเดียว ตอนนี้มันเยอะขึ้น แถมยังมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและก็เรื่องของแคลเซียมอีก

ตอนนั้นพี่เปิ้ลรู้สึกอย่างไรบ้าง ?

เปิ้ล : มันก็เร็วนะคะ เร็ว ตอนแรกเราคิดว่าการไปโรงพยาบาลครั้งนี้น่าจะทำให้เขาแข็งแรงขึ้น เพื่อที่จะเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนยา ไม่ได้คิดเลยว่า ไม่ได้คิดเลย (น้ำตาคลอ)


ช่วงนั้นพี่ตั้วยังสามารถพูดคุยได้ปกติไหม ?

เปิ้ล : คุยได้ค่ะแต่จะพูดช้าลง เนื่องจากว่าเขามีภาวะแคลเซียมสูง จึงทำให้ระบบความคิดของเขาช้าลงตามไปด้วย แต่ก็ยังพูดได้อยู่ ตอนเจอคุณหมอเขายังพูดกับคุณหมอเลยว่า อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม จนกระทั่งคุณหมอเริ่มมาบอกกับเปิ้ลว่าพี่ตั้วเขาอยากเจอใครเป็นพิเศษไหม ตอนนั้นเปิ้ลก็รู้สึกเอะใจนะคะว่าทำไมคุณหมอถามแบบนี้ คือไม่แน่ใจเลยค่ะ แต่สุดท้ายก็เลยไปเชิญพี่ชายพี่ตั้วมาเจอหน้าเขา

เอก : ผมมาทราบเรื่องตอนนั้นเลยครับ

เปิ้ล : ไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้เลยค่ะ

เอก : ผมรู้ทุกอย่างตอนนั้นเลยครับ รู้ว่าเขาเข้าโรงพยาบาล รู้ว่าเขาล้ม คือเคยคุยกันแค่ประมาณนิดๆหน่อยๆ ช่วงเดือนก่อน ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเขาอธิบายอะไร จนกระทั่งผมได้มาทราบรายละเอียดอีกทีตอนที่เปิ้ลบอกกับผมว่าตั้วเขากินอะไรไม่ค่อยได้ คือตั้วเขาไม่บอกใครเลยครับ ไม่บอกใครเลยจริงๆ เขาเป็นคนแบบนี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน เขาอยากแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ญาติพี่น้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย เขารู้แค่กับเปิ้ล 2 คน ขนาดลูกสาวเขายังไม่บอกเลย

เปิ้ล : แต่สุดท้ายลูกสาวก็ทราบค่ะ

เอก : หลังจากที่ผมทราบเรื่องของตั้ว ผมก็เดินทางมาหาเขาและเราก็เริ่มพูดคุยกัน ตอนนั้นอาการเขาก็โอเคนะ ถึงแม้เขาจะพูดช้า แต่เขารับรู้ทุกอย่าง ใช้วิธียักคิ้วตอบโต้เรา กับยกมือได้นิดๆหน่อยๆ ผมจำได้ว่าเราคุยกันอยู่ประมาณ 2 วัน

เอก : ในช่วงสุดท้ายตอนที่ตั้วจะไป สำหรับผมผมมองว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีนะ คือตั้วเขานอนนิ่งๆ เหมือนเขาหลับไปเฉยๆ ตอนนั้นเราก็บอกเขาว่าหลับไปก็ได้นะตั้ว ถ้ามันเหนื่อยก็หลับไปไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็เหมือนตื่น ไปตื่นที่ไหนก็ไม่รู้ ตื่นเมื่อไหร่ก็ช่างมัน แต่ตอนนี้ให้เขาสบายใจได้แล้ว ลูกเมียอยู่กับเขา ญาติพี่น้องอยู่กับเขา เพื่อนฝูงมาอยู่กับเขาหมดแล้ว ทุกคนมาส่งเขาแล้ว ให้เขาคิดว่าเขาไปเที่ยว ให้คิดซะว่าตัวเองกำลังจะขึ้นเครื่องบิน แล้วทุกคนมาส่งเขาที่สนามบิน เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีกไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง จนสุดท้ายตัวเขาก็ค่อยๆไปครับ คุณหมอบอกว่าที่ผ่านมาตั้วเขาพยายามสู้ เพราะเหมือนชีพจรเขาคงที่มาตลอด จนกระทั่งทุกคนเดินทางมาถึงครบถ้วน ทุกคนที่เขาปรารถนาจะเจอได้เดินทางมาถึง สักประมาณ 1 ทุ่มกว่าๆ ชีพจรเขาก็ค่อยๆลง ค่อยๆลงไปเรื่อยๆ ไม่มีอาการที่แบบว่าลงแล้วขึ้นหรืออะไรเลย ไม่มีภาวะยื้อใดๆเลยทั้งสิ้น เขาไปแบบสบายๆคือสงบจนผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เขาพาพวกเราทุกคนที่อยู่ตรงนั้นสงบตามไปด้วยเลยครับ


ก่อนพี่ตั้วจะไป ได้สั่งเสียหรือพูดอะไรไว้บ้างไหม ?

เปิ้ล : ก็มีนะคะคือเราคุยกันอยู่เรื่อยๆ อย่างเช่นก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาลเราก็คุยกันอยู่เรื่อยๆ ทั้งเรื่องของละคร เรื่องของทีมงาน การทำงานไหวหรือเปล่า คือเขาจะเป็นคนที่ห่วงเรื่องงานเยอะมาก โดยเฉพาะงานที่เป็นงานของเขา ขนาดเราเสนอไปว่าจะหาใครมาช่วยเขากำกับ เขาก็บอกว่าไม่ได้ เพราะมันคืองานที่เขากำกับมาตั้งแต่แรกเขาต้องทำให้จบ นอกจากเรื่องงานแล้วก็ยังมีเรื่องของลูกสาว น้องหนุนกับน้องหนัง หนุนเรียนจบแล้วใช่ไหม หนุนวางแผนชีวิตอย่างไร หนังวางแผนชีวิตอย่างไร เปิ้ลต้องทำความฝันที่คิดไว้ให้เป็นความจริงนะ เปิ้ลอย่าท้อนะ คือเขาก็จะพูดไปเรื่อย เราคุยกันเกือบทุกวัน แม้แต่ตอนที่อยู่โรงพยาบาลเราก็ยังคุยกันอยู่เลยว่า เราจะต้องทำสิ่งที่เราอยากทำให้เป็นความจริงให้ได้ ถึงแม้ว่าจะลำบากก็อย่าท้อ

ช่วงนี้ผ่านมาพี่เปิ้ลเองก็ต้องเข้มแข็งมาก ?

เปิ้ล : ต้องเข้มแข็งมากค่ะ จริงๆมันต้องเข้มแข็งตั้งแต่เวลาที่มีคนเข้ามาถามแล้วค่ะว่าพี่ตั้วเป็นอย่างไรบ้าง คือพี่ตั้วเขาไม่อยากให้ใครต้องมาวิตกกังวลว่าเขาจะเป็นอย่างไร เขาไม่อยากให้เพื่อนต้องกังวลว่าจะต้องมาเยี่ยม เขามองว่ามันเป็นเรื่องที่เราต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เพราะทุกคนต่างก็มีปัญหาของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นเราต้องเก็บเอาไว้ แม้กระทั่งญาติพี่น้องบางคนเราก็ไม่ได้บอก ไม่ได้บอกเลยจริงๆค่ะ




พี่ตั้วใจสู้มาก ?

เปิ้ล : สู้ค่ะ เขาสู้จริงๆ ครั้งแรกที่คุณหมอบอกว่าเขาป่วยเขาก็ตอบคุณหมอทันทีเขาว่าเขาสู้ ตอนที่หมอบอกว่าเขาต้องฉีดยา 6เข็ม และเขาต้องวอร์มร่างกาย เขาทำทุกอย่าง เขาสู้มาตลอด ทำตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด เขาสู้จริงๆค่ะ เพราะเขาอยากทำงาน เขาอยากออกกอง เขาอยากทำงานของเขามากค่ะ เนื่องจากเขายังมีงานที่เขาทำค้างเอาไว้อยู่

เรื่องการทำงานของพี่ตั้วเราได้วางแผนว่าอย่างไร ?

เปิ้ล : เท่าที่คุยนะคะก็ทราบว่าเดี๋ยวจะมีผู้กำกับท่านอื่นมาช่วย คิดว่านะคะ

เรื่องลูกสาวตอนนี้ตั้งใจไว้อย่างไรบ้าง ?

เปิ้ล : อย่างที่ทราบตอนนี้น้องหนุนเรียนจบแล้ว แต่ด้วยความที่ช่วงนี้มันเป็นช่วงของโควิด-19 ก็เลยอาจจะมีเรื่องของการเลื่อนโปรเจกต์จบนิดๆ หน่อยๆ เพราะตอนแรกเหมือนเขาจะต้องทำละครเวที 1 เรื่อง โดยมีคุณพ่อเขาเป็นคนช่วยแนะนำ แต่พอมันเกิดโควิด-19 ขึ้น หนุนเขาก็เลยต้องเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนใหม่หมด ซึ่งพี่ตั้วเขาก็พูดว่าเขาจะต้องไปงานรับปริญญาลูกให้ได้ ส่วนน้องหนังเป็นช่วงที่เขากลับมาจากเกาหลีพอดี เขาก็เลยได้มีโอกาสอยู่ดูแลคุณพ่อค่ะ

พูดกันตามตรงเลยนะคะ เราไม่ได้คิดเลยว่าพี่ตั้วเขาจะไปกะทันหันขนาดนี้ ไม่ได้คิดเลยจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้เรายังวางแผนกันอยู่เลยว่าปีนี้จะไปหาลูกที่เกาหลีช่วงไหนดี หรือถ้าพี่ตั้วหายดีแล้วเราก็จะไปเที่ยวทะเลกัน เพราะเราชอบทะเลกันทั้งคู่ ส่วนหนุนที่เรียนจบเราก็คุยกันว่าเขาจะมาช่วยอะไรเราได้บ้าง คือไม่ได้คิดอะไรเรื่องพวกนี้เลย มันกะทันหันมากค่ะ

หลังจากนี้พี่เปิ้ลได้มองว่าจะดูแลครอบครัวอย่างไร ?

เปิ้ล : พี่พร้อมนะกับการทำงานหนัก พี่พร้อมที่จะลุยงาน แต่เรื่องของสภาวะจิตใจแน่นอนค่ะมันก็ต้องมีบ้างที่เรารู้สึกถามตัวเองว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริงเหรอ มันมีแว่บๆ เข้ามาบ้างเหมือนกัน


ในฐานะภรรยาเราภูมิใจในตัวสามีคนนี้ยังไงบ้าง ?

เปิ้ล : พี่ตั้วเขาเป็นคนที่มีหลายบุคลิกค่ะ เขาเป็นคนทำงาน เป็นคนจริงจัง เรื่องไหนที่เป็นเรื่องส่วนตัวมันก็จะเป็นสไตล์เขา คือส่วนตัวก็คือส่วนตัว ทุกคนต่างก็มีภาวะความเครียดของตัวเองอยู่แล้ว ทำไมเราจึงต้องเอาเรื่องของเราไปให้คนอื่นเขาคิดมากอีก เขาเป็นคนที่มองอะไรแบบนี้ อีกมุมเขาก็เป็นคนน่ารัก เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นคนเข้มๆ เป็นคนที่ดูจริงจัง แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีในบางจุด 

พี่เอกภูมิใจในตัวน้องชายคนนี้อย่างไรบ้าง ?

เอก : ผมภูมิใจในตัวเขามากครับ เขาเป็นคนที่จริงจังในทุกเรื่อง เขาเป็นคนที่ทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่คิดถึงตัวเองสักเท่าไหร่ และก็ชอบเก็บความรู้สึกเอาไว้ ชอบแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ซึ่งผมถือว่ามันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจนะ แถมเขาเป็นคนที่รักครอบครัวมากเลยด้วย ในฐานะพี่ชายผมก็ภูมิใจในตัวเขาที่สุดครับ

พี่เอกมีอะไรจะบอกแฟนๆพี่ตั้วไหม ? 

เอก : เรื่องเกิดแก่เจ็บตาย มันก็เป็นเรื่องธรรมชาตินะครับ มันมาเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ ทุกคนช็อก เราเองก็ช็อก แต่ช็อกแป๊บเดียวก็พอ เราดูไว้เป็นอุทาหรณ์ สิ่งนี้มันอาจจะเกิดกับใครก็ได้แม้กระทั่งตัวเราเอง สิ่งที่เกิดกับตั้วมันก็เหมือนทำให้เราได้เห็นว่าทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครคาดคิด เพราะฉะนั้นก็ใช้เวลาทุกขณะด้วยความไม่ประมาทละกันนะครับ ฝากแฟนๆ ของตั้วทุกคน ให้ลองมองตั้วเป็นอุทาหรณ์เพื่อที่จะได้เกิดเป็นบุญกุศลแก่เขา ผมขอฝากแบบนี้ละกันครับ


พี่เอกอยากจะพูดอะไรถึงพี่ตั้วบ้าง ?

เอก : ตั้วเขาสบายอยู่แล้วครับ ถามว่าทำไมผมถึงกล้าพูดอย่างนี้ เพราะในขณะที่เขาจะไปผมเห็นว่าเขาไปสบาย เขาอยากจะพักตอนไหน ผมก็บอกว่าให้เขาพัก เขาอยากจะนอนตอนไหนก็ขอให้เขาได้นอน และสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเอง ผมเองก็ได้แต่บอกเขาว่าให้เขาอยู่กับความสบายนี้ไปนะ

พี่เปิ้ลมีอะไรจะฝากบอกถึงแฟนๆที่ส่งกำลังใจให้ครอบครัวเรา ?

เปิ้ล : ขอบคุณแฟนละครของพี่ตั้วทุกคน ทั้งจากเพจในโลกออนไลน์ หรืออะไรก็ตามที่เขียนถึงพี่ตั้ว เปิ้ลอ่านแล้วรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เปิ้ลขอบคุณมากจริงๆ และก็ขอบคุณพี่ๆ น้องๆ ในวงการบันเทิงที่ได้เขียนข้อความไว้อาลัย รวมถึงโทรศัพท์มาหา แต่เปิ้ลต้องขออภัยด้วยหากเปิ้ลไม่ได้รับโทรศัพท์ใครเพราะช่วงนี้มันค่อนข้างวุ่น แต่ก็ขอขอบคุณค่ะ ขอขอบคุณทุกคนจริงๆ รวมถึงขออภัยที่ไม่ได้บอกอะไรใครเลย เพราะพี่ตั้วเขาขอไว้ว่าเขาอยากให้แข็งแรงก่อน เพื่อที่เขาจะได้มาบอกกับทุกคนด้วยตัวเองว่าการต่อสู้ของเขากับโลกนี้ มันเป็นอย่างไรเ ขาอยากจะบอกเอง แต่ก็อย่างที่พี่เอกได้บอก ช่วง 5-6 วันที่ผ่านมา ที่เขานอนโรงพยาบาล เขานิ่งและดูสงบมาก เขาไม่ได้ดูเจ็บปวดหรือทรมานใดๆเลย ขนาดคุณหมอถามว่าเขาปวดหรือเปล่า เขาก็บอกว่าไม่ปวด จะมีก็แค่อาการหายใจไม่ปกตินิดหน่อยๆ แต่ทุกอย่างมันก็ดีจนถึงวินาทีสุดท้าย เราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องของสุขภาพ เขาทำให้เราไม่ชะล่าใจ ไม่ลืมที่จะตรวจเช็กสุขภาพร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะถึงแม้ที่ผ่านมาเขาจะดูแลร่างกายอย่างดี แต่ช่วงเวลาที่อ่อนแอมันก็เกิดขึ้นได้ค่ะ