ซูเปอร์โพลชี้ ปชช.สุดเบื่อหน่ายยี้การเมืองเก่า

2020-06-05 10:25:48

ซูเปอร์โพลชี้ ปชช.สุดเบื่อหน่ายยี้การเมืองเก่า

Advertisement

โพลชี้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมืองเก่า จ้องรุมทึ้งเงินกู้ จับตากลุ่มเป่านกหวีดออกมาปกป้อง 

เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.63 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ภาพการเมืองหลังสู้ศึกอภิปราย กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,621 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 2-4 มิ.ย.ที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงภาพการเมืองหลังสู้ศึกอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน ที่ผ่านสภาฯ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 81.1 เห็นภาพการเมืองเก่าๆ โดยเฉพาะการจัดคนเข้ามากอบโกยผลประโยชน์เงินกู้ที่รัฐบาลก่อหนี้สินให้ประชาชนทุกคนในชาติ รองลงมา คือ ร้อยละ 79.4 เห็นภาพนักการเมืองยี้แย่ๆ เดิมๆ ทำให้เด็กและเยาวชนลอกเลียนแบบการโกง




ขณะที่ประชาชนร้อยละ 76.4 สงสารและเห็นใจนายอุตตม สาวนายน คนแจกเงินเยียวยาประชาชน ส่วนประชาชนร้อยละ 75.6 เห็นภาพการเมืองแบบเดิมๆ คือ เสร็จนาฆ่าโคทึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ขณะที่ร้อยละ 75.4 เห็นภาพนักการเมืองหักหลังมุ่งหวังเอาผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ร้อยละ 68.1 เห็นภาพขบวนการโจรปล้นชาติ และร้อยละ 67.0 เห็นภาพอำมหิตโหดร้ายทางการเมือง

ที่น่าพิจารณา คือ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 72.0 เห็นภาพอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพ ปล่อยให้มีการหักหลังเพื่อนร่วมรบโดยปล่อยให้เพื่อนร่วมรบตายไปหลังจบศึก ขณะที่ร้อยละ 28.0 เห็นภาพพลเรือนผู้กล้าหาญยืนชี้แจงความจำเป็นกรณีต้องกู้เงินมาเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ



ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 77.3 ระบุว่ามีเป็นไปได้ที่ประชาชนจะเป่านกหวีดเพื่อลุกขึ้นมาปกป้องเงินกู้ที่รัฐบาลก่อหนี้สินให้ทุกคนในชาติ และขจัดนักการเมืองที่เข้ามารุมทึ้ง ขณะที่ร้อยละ 22.7 ระบุว่าเป็นไปไม่ได้ ที่น่าสนใจ คือ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 74.2 ระบุ ว่า ถึงเวลาแล้วที่ควรยุบสภา ขณะที่ประชาชนร้อยละ 25.8 ระบุว่ายังไม่ถึงเวลา

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า 3 ป.อาจต้องสั่นคลอนเหตุเพราะประชาชนไม่เอาด้วย เนื่องจากเวลานี้ประเทศชาติและประชาชนเปราะบางมาก และอาจนำไปสู่วิกฤตใหญ่หลวงที่ยากต่อการควบคุม ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลอารมณ์ประชาชนที่เคยทำมาเกือบ 30 ปี จึงต้องรีบแจ้งสัญญาณอันตรายแรงๆ ด้วยข้อมูลว่า บ้านเมืองอาจจะวุ่นวายช่วงปลายปี ถ้าไม่ตัดไฟแต่ต้นลมในวันนี้

นายกรัฐมนตรี และผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจึงอย่าเติมเชื้อฟืนลงไปในกระแสสังคม ซึ่งจะสร้างความคับแค้นใจและความเคลือบแคลงสงสัยของสาธารณชนต่อนักการเมืองแบบเก่าต่อความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล องค์กรอิสระ และต่อผู้ใหญ่ฝ่ายการเมือง แต่มีทางออกที่น่าพิจารณา ประกอบด้วย



1. รักษาสถานภาพเดิม คือ the Status Quo เอาไว้ ไม่ทำตามกลุ่มนักการเมืองแบบเก่าที่เร่าร้อน แต่เมื่อมีผู้ใหญ่บางคนทำผิดพลาดฝืนกระแสสังคมก็ควรรีบปรับตัวกลับสู่ทางที่ถูกต้อง 2.ผู้มีบารมีของประเทศน่าจะทำให้พรรคการเมืองเจ้าปัญหากลับมารักษาปกป้องคนดีเอาไว้ โดยถือโอกาสนี้ปลดคนไม่ดีที่มีประวัติด่างพร้อยจนเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชนที่ทุจริตคอรัปชั่นออกไป

ใช้วิกฤตเป็นโอกาส สังคมจะกลับมายกย่องเชิดชูพรรคการเมืองนี้ และหากทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ทางออกที่ดีอีกทางหนึ่ง คือ ควรยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม โดยคืนอำนาจให้ประชาชน ผลที่ตามมา คือ จะช่วยทำให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปโดยไม่เกิดเหตุรุนแรงบานปลาย เพราะดับไว้ด้วยวิถีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข