แบ่งเค้ก 80 ล้าน ไม่ใช่เหลือบแต่เป็นไดโว่

2020-06-01 20:30:41

แบ่งเค้ก 80 ล้าน ไม่ใช่เหลือบแต่เป็นไดโว่

Advertisement

ทำกันแบบจะๆ ให้เห็นตำตาไปเลย สำหรับการชิงอำนาจซึ่งกระทบชิ่งไปถึงงบก้อนใหญ่ จาก พรก. กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท

ถือเป็นงบก้อนมหาศาลไม่เคยมีเห็นมาก่อนในประวัติการกู้ยืม เปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ คืองบประมาณรายจ่ายรัฐบาลไทยปี 63 มี 3.3 ล้านล้านบาท เงิน 1.9 ล้านล้านบาทก็เท่ากับ 59%ของงบปี 63

จึงนำไปสู่การแย่งชิงเพื่อให้ตนเองหรือพวกพ้องได้เข้าไปบริหารจัดการงบประมาณก้อนนี้ ซึ่งจะปรากฎในโปรเจ็คท์ต่างๆ ที่ต้องอ้างเพื่อเยียวยาฟื้นฟูผลกระทบจากโควิด 19

นั่นหมายถึงต้องไปนั่งเป็นเจ้ากระทรวงในตำแหน่งรัฐมนตรีสำคัญๆ สำหรับอนุมัติเงินงบประมาณ โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นการประลองกำลังทั้งในทางลับและเปิดเผยของกลุ่มก๊วนการเมือง ยิ่งกรณีพลังประชารัฐยิ่งเห็นชัด

ขนาดนายสันติ พร้อมพัฒน์ หัวหน้ากลุ่มเพชรบูรณ์ ขณะปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีช่วยการคลังอยู่แล้ว ยังตกเป็นข่าวว่าอยากขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรีคลังเอง แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธ แต่ข่าวก็ไม่สร่างซาลง

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีอุตสาหกรรมอยู่แท้ๆ ยังตกเป็นข่าวอยากสลับไปนั่งเก้าอี้กระทรวงพลังงาน ซึ่งคาดหมายว่าจะมีโครงการและงบประมาณมากกว่า หรือเข้ากับยุคสมัยการเปลี่ยนแปลงมากกว่า

ขณะที่อีกหลายคนที่พลาดหวังตกเก้าอี้รัฐมนตรีครั้งก่อน ก็ตั้งตารอคอยโอกาสจะได้ขยับชั้นขึ้นเป็นรัฐมนตรีบ้าง หลังจากรอจนหน้าเหี่ยวหน้าแล้ง ลำคอแห้งผาก

แต่จะบรรลุความหวังได้ ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีใหม่ และต้องแซะให้รัฐมนตรีปัจจุบันบางคนหรือหลายคน พ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีไปก่อน

เป้าหมายจึงอยู่ที่รัฐมนตรีขาลอย คือไม่ได้เป็น ส.ส. และไม่มี ส.ส. ในสังกัด หรือมีกลุ่ม ส.ส. ที่สนับสนุนน้อย กลุ่ม 4 กุมารในสังกัดนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รวมทั้งนายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ จึงพลอยฟ้าพลอยฝน โดนทั้งแซะทั้งโยกเก้าอี้มาตลอด

แต่การจะการันตีว่าจะได้สลับเก้าอี้ไปนั่งตำแหน่งเจ้ากระทรวงสำคัญได้ ก็ต้องเริ่มต้นจากตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐเสียก่อน โดยเฉพาะตำแหน่งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ยังไงๆก็ต้องมีตำแหน่งใน ครม. และ 2 คนนี้ต้องมีสิทธิ์ได้นั่งเก้าอี้ที่เล็งๆเอาไว้ คือได้เลือกก่อนคนอื่นที่สำคัญรองๆลงไป

จึงนำไปสู่การออกแรงกดดันเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องแข่งกับเวลาไม่หยุดหย่อน แมัแต่ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 กำลังรุนแรง ทั้งจัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนแสดงจำนวน ส.ส. ในสังกัด การปล่อยข่าวกรรมการบริหารพรรคยื่นหนังสือลาออก การเข้าพบผู้มีบารมีตัวจริงในพรรคพร้อมจำนวน ส.ส. ในกลุ่ม รวมกระทั่งการใช้หัวหมู่ทะลวงฟัน ไปขี่ม้าเลียบค่ายท้าทาย อย่างนายจิระ เจนจาคะ

ขณะที่อีกฝ่ายก็ใช่จะยอมลดราวาศอก ทั้งนายวัชระ กรรณิการ์ นายไผ่ ลิกค์ หรือแม้แต่นายสนธิรัตน์ ก็ออกโรงตอบโต้เองเช่นกัน

ไม่เพียงศึกในแย่งชิงตำแหน่งจะคุกกรุ่น โดยไม่ใส่ใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจประชาปไตยตัวจริงจะรู้สึกอย่างไรแล้ว ยังมีการงัดกลยุทธ์ดึงดูดใจ ส.ส. ให้เข้าร่วมอุดมการณ์แย่งชิงเก้าอี้ใหญ่ โดยการเสนอเงินก้อนโต 80 ล้านบาทให้เป็นของกำนัลอีกต่างหาก

แม้อาจไม่ได้เป็นเงินสดๆ แต่การได้รับในรูปโครงการที่ยื่นเสนอ ก็มีนัยถึงเงินทอนส่วนแบ่งและการใช้บริการเครือข่ายและคนใกล้ชิด หรือเรื่องผลประโยชน์ที่ลงตัว อย่างที่นักการเมืองเลือกตั้งช่ำชองและใช้กันมาแต่ไหนแต่ไร นอกเหนือจากการได้หน้าและเป็นคนที่ผลักดันโครงการลงไปในพื้นที่ฐานเสียงของตนเองและพวกพ้อง

แม้อาจจะโดนตอบโต้ว่าถูกอีกฝ่ายใส่ร้ายป้ายสี หาหลักฐานสนับสนุนไม่มี แต่โดยธรรมชาติทั่วไป หากไม่มีมูลสุนัขคงไม่อึ

หรือจับพลัดจับผลูเป็นเรื่องโดนกลั่นแกล้งใส่ร้าย ก็ยังสะท้อนความเน่าเฟะของนักการเมืองไทยไปในตัวเช่นกัน

แล้วประชาชนคนไทย จะหาที่พึ่งอะไรได้บ้างไหมครับ นอกจากโดนแหกตาไปวันๆ รอให้ไดโว่ ซึ่งร้ายกว่าเหลือบเป็นล้านๆเท่า เขมือบแบบไม่เหลือซาก