สหรัฐระอุเป็นคืนที่ 6 ติดต่อกันในการประท้วง กรณีการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันผิวดำขณะถูกตำรวจผิวขาวเข้าจับกุมตัวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ความรุนแรงปะทุขึ้นในหลายเมืองทั่วสหรัฐในคืนที่ 6 ติดต่อกันของการประท้วง กรณีการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาจากฝีมือของตำรวจผิวขาว แม้มีการประกาศใช้เคอร์ฟิวในเกือบ 40 เมือง แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สนใจ นำไปสู่ความตึงเครียดอย่างหนัก โดยตำรวจปราบจลาจลปะทะกับผู้ประท้วงในนิวยอร์ก, ชิคาโก, ฟิลาเดลเฟียและลอสแอนเจลีส มีการยิงแก๊สน้ำตาและพริกไทย เพื่อพยายามสลายการชุมนุมประท้วง รถยนต์ตำรวจหลายคันถูกเผา และร้านค้าในหลายเมืองถูกปล้น
กองกำลังพิทักษ์ชาติ แถลงเมื่อวันอาทิตย์ว่า มีทหาร 5,000 นาย ถูกส่งเข้าปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยใน 15 รัฐ และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ด้วย ซึ่งฝูงชนกลับมารวมตัวกันอีกครั้งใกล้ทำเนียบขาว ครั้งนี้มีการจุดไฟเผาและขว้างปาก้อนหินเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลด้วย กองกำลังพิทักษ์ชาติ แถลงเพิ่มเติมว่า ตำรวจประจำรัฐและท้องถิ่น ยังคงรับผิดชอบความมั่นคง
ตำรวจในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ประท้วง ซึ่งจุดไฟเผาทรัพย์สินต่าง ๆ ใกล้ทำเนียบขาว มีทั้งโบสถ์เซนต์ จอห์นส์ เอปิสโคพอล โบสถ์ประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นโบสถ์ของประธานาธิบดี ใกล้ทำเนียบขาว
มีการประท้วงในเมืองต่าง ๆ มากกว่า 75 เมือง ถนนหลายสายในช่วงหลายวันก่อนหน้าแทบไม่มีผู้คน เพราะการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ก็กลับมาเนืองแน่นด้วยฝูงชนผู้ประท้วงอีกครั้งในการเดินขบวนแบบไหล่ชนไหล่กันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ สหรัฐประสบปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติอย่างกว้างขวางและความไม่สงบของสังคมมาตั้งแต่การลอบสังหารมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ในปี พ.ศ.2511 ขณะที่ คดีของจอร์จ ฟลอยด์ กลับมาเติมเชื้อไฟให้คุกรุ่น จุดชนวนความโกรธแค้นกรณีตำรวจผิวขาวฆ่าชาวอเมริกันผิวดำอีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสิ้นหวังมานานหลายปีในเรื่องเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมทางสังคมและเศรษฐกิจ และการแบ่งแยกเชื้อชาติ เช่นที่เกิดขึ้นในเมืองมินนีแอโพลิส ที่จอร์จ ฟลอยด์เสียชีวิต
การชุมนุมประท้วงทั่วสหรัฐที่มีชนวนเหตุจากการเสียชีวิตของนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีอายุ 46 ปี ซึ่งถูกตำรวจผิวขาวที่เมืองมินนีแอโพลิส ในรัฐมินนิโซตา ใช้เข่ากดลงไปที่คอนานเกือบ 9 นาที ระหว่างทำการจับกุมฟลอยด์ฐานพยายามใช้ธนบัตรปลอมซื้อสินค้า เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมานั้น กำลังล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 และยังไม่ทีท่าว่าความรุนแรงจะบรรเทาเบาบาง