การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดในโรค COVID-19

2020-05-28 11:00:03

การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดในโรค COVID-19

Advertisement

การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดในโรค COVID-19

ในปัจจุบัน สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยนั้น มีผลทำให้มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ novel coronavirus 2019 (SARS-CoV-2) อนึ่ง การจัดระดับความรุนแรงของผู้ป่วย COVID-19 จากทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้แบ่งผู้ป่วยเป็น 4 กลุ่ม 5 ความรุนแรง ได้แก่

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ แต่ไม่มีอาการ

ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง และไม่มีความเสี่ยงสำคัญ

ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีความเสี่ยงสำคัญ

ผู้ป่วยที่มีภาวะปอดอักเสบ ซึ่งแบ่งเป็นแบบไม่รุนแรง และแบบรุนแรง


โดยการออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายจะเหมาะสมในผู้ป่วยเกือบทุกกลุ่มที่ติดเชื้อ COVID-19 แต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรง ยกเว้นผู้ป่วยที่มีภาวะปอดอักเสบแบบรุนแรง หากไม่สามารถขจัดเสมหะเองได้ อาจต้องการการทำกายภาพบำบัดทรวงอกข้างเตียงโดยพิจารณาจากประโยชน์และความเสี่ยงอีกครั้ง

ในกรณีมีความเสี่ยงสำคัญ เช่น อายุมากกว่า 60 ปี มีโรคปอด ไต หรือหัวใจเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคตับแข็ง หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากการออกกำลังกายตามโรคประจำตัวที่เป็นอยู่เดิมด้วย


การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดด้วยตนเอง

เนื่องจากการเป็น COVID-19 มักส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจเป็นหลัก อาจทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาหายใจลำบาก รวมถึงมีเสมหะมากขึ้น โดยวัตถุประสงค์ของการฟื้นฟูสมรรถภาพปอด เพื่อลดอาการเหนื่อยและหายใจลำบาก เพื่อเพิ่มความสามารถในการหายใจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยในการขับเสมหะ (ถ้ามี) เพื่อป้องกันการเกิดภาวะปอดแฟบ


การจัดท่า (Positioning) ผู้ป่วยอาจมีการจัดท่าในท่านั่ง หรือท่านอนศีรษะสูงโดยใช้เตียงปรับระดับที่ควบคุมผ่านทางพยาบาล หรือนักกายภาพบำบัดให้ศีรษะสูงขึ้น 30–60 องศา

การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ (Deep–slow breathing) เพื่อให้ทรวงอกมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยท่านั่ง หรือนอนศีรษะสูง 45–60 องศา โดยมีอัตราการหายใจ 12–15 ครั้งต่อนาที ทำ 10 ครั้งต่อรอบ ทำได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ โดยพักประมาณ 30–60 วินาที ระหว่างรอบ

ท่าแรก หายใจเข้าทางจมูก พร้อมยกแขนทั้งสองข้างขึ้นด้านหน้า และหายใจออกทางปากยาว ๆ พร้อมผ่อนแขนลง

ท่าสอง หายใจเข้าทางจมูก พร้อมกางแขนออกด้านข้างทั้งสองข้าง และหายใจออกทางปากยาว ๆ พร้อมหุบแขนลง

Active cycle of breathing technique เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการหายใจและระบายเสมหะออกมาง่ายขึ้น ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการคั่งค้างของเสมหะเป็นเวลานาน ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ

การควบคุมการหายใจ (breathing control) โดยใช้ท่านั่ง หรือนอนศีรษะสูง 45–60 องศา วางมือไว้บริเวณหน้าอก และช่วงท้องส่วนบน บริเวณใต้ลิ้นปี่



- หายใจเข้า ท้องป่องดันมือที่วางไว้ใต้ลิ้นปี่ขึ้น โดยมือที่วางบนอกยังคงนิ่ง

- หายใจออก ช้า ๆ ทางปาก ท้องแฟบ (ทำซ้ำ 5–10 ครั้ง)

การหายใจให้ทรวงอกขยาย (Thoracic expansion breathing) โดยใช้ท่านั่ง หรือนอนศีรษะสูง 45–60 องศา วางมือทั้งสองข้างบริเวณตำแหน่งชายโครงด้านข้างเพื่อรับรู้ว่าทรวงอกขยายออก และยุบตัว

- หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ให้ซี่โครงบานออก

- หายใจออกช้า ๆ ทางปาก ให้ซี่โครงหุบลง (ทำซ้ำ 3–4 ครั้ง)

การหายใจออกอย่างแรง (Huffing) โดยให้อยู่ในท่านั่งโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย จากนั้นให้หายใจเข้าลึกมากที่สุดทางจมูก กลั้นหายใจค้างไว้ประมาณ 1–3 วินาที เปิดช่องปาก และคอ โดยห่อปาก แล้วหายใจออกอย่างแรงเสียงดัง “ฮัฟ”1–3 ครั้งติดกันโดยไม่หายใจเข้า ร่วมกับการเกร็งหน้าท้องเพื่อช่วยขับเสมหะ


* ขั้นตอนการทำ Active cycle of breathing technique นี้ จะเริ่มต้นจาก

1. ควบคุมการหายใจเข้าออกปกติ 5–10 ครั้ง

2. หายใจให้ทรวงอกขยาย 3–4 ครั้ง

3. กลับมาควบคุมการหายใจเข้าออกปกติต่อ

4. ช่วงสุดท้ายค่อยหายใจออกอย่างแรง 1–2 ครั้ง

**การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดด้วยตนเองที่กล่าวมา ควรทำซ้ำทุก 1–2 ชั่วโมง**


ควรหยุดเมื่อใด?

-ถ้าทำแล้วมีอาการเหนื่อย หายใจเร็วมากขึ้น

-มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ได้แก่ แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ ใจสั่น ปวดศีรษะ ตามัว เหงื่อออกมาก ซีด เขียว หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ



-กรณีมีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงสำคัญ ควรปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิด ก่อนออกกำลังกาย

อ.นพ.เตชิต จิระวิชิตชัย ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล