“ทรีนิตี้”เผยมุมมองหลัง ครม.มีมติให้ “การบินไทย” ยื่นคำขอแผนฟื้นฟูกิจการ

2020-05-19 22:50:04

“ทรีนิตี้”เผยมุมมองหลัง ครม.มีมติให้ “การบินไทย” ยื่นคำขอแผนฟื้นฟูกิจการ

Advertisement

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ “ทรีนีตี้”เผยมุมมองหลัง ครม.มีมติให้ “การบินไทย” ยื่นคำขอแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง

เมื่อวันที่ 19 พ.ค. นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า หลัง ครม.มีมติให้การบินไทยยื่นคำขอแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง  ขั้นตอนต่อไปการบินไทยจะต้องจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อยื่นคำร้องต่อศาล และเมื่อศาลมีการรับคำร้องแล้ว จะทำให้การบินไทยได้รับการคุ้มครองเข้าสู่สภาวะพักหนี้หรือ Automatic Stay โดยทันที ถึงแม้ว่ากระบวนการ Automatic stay จะเป็นผลดีต่อลูกหนี้ในแง่ที่ว่ากิจการของบริษัทยังสามารถดำเนินต่อไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงแรกก็คือราคาตราสารหนี้ของบริษัทในตลาดรองที่อาจได้รับผลกระทบไปก่อน โดยหากดูจากราคาซื้อขายหุ้นกู้การบินไทยในช่วง 1-2 วันนี้ จะพบว่าราคาตกลงมาอย่างน่าใจหาย

ราคาตราสารหนี้ที่ตกลง รวมถึงภาวะ Technical default ที่มีแนวโน้มสูงว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ผู้ที่ถือตราสารหนี้ของการบินไทยอยู่นั้นอาจเกิดความวิตกกังวลได้ เช่น กลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ถือหุ้นกู้รวมอยู่เกือบ 4 หมื่นล้านบาท

 ส่วนทางด้านตราสารทุนนั้น จากการตรวจสอบกับทางตลากฟลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลท.ล่าสุด พบว่าในปีนี้การบินไทยคงจะยังไม่ถูกให้ขึ้นเครื่องหมาย SP แต่อย่างใด โดยหากจะเกิดขึ้นเร็วสุด ก็อาจจะเป็นช่วงต้นปีหน้าที่จะมีการรายงานงบตรวจสอบ (งบปี) ออกมา ซึ่งถ้าหากออกมาแล้วส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ จะเข้าเกณฑ์การพิจารณาเหตุเพิกถอนทันที

แต่ทั้งนี้ ในช่วงถัดไป หากศาลตอบรับคำร้องการขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท จะทำให้การบินไทย เข้าเกณฑ์การถูกขึ้นเครื่องหมาย C จากทาง ตลท.โดยทันที ซึ่งหลังจากนั้น ผู้ลงทุนจะต้องซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวด้วยบัญชี Cash Balance เท่านั้น

 ประเมินว่าจริงๆแล้วการบินไทยมีโอกาสที่จะถูกให้ขึ้นเครื่องหมาย C ตั้งแต่รอบรายงานงบการเงินไตรมาส 1/63 นี้แล้วด้วยซ้ำ หากผลออกมาส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์  ของทุนชำระแล้ว แต่เนื่องจากการบินไทย ขอยื่นเรื่องผ่อนผันการส่งงบ จึงทำให้ยังไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว (ณ สิ้นปี 62 การบินไทย มีส่วนของผู้ถือหุ้นราว 53 เปอร์เซ็นต์ ของทุนชำระแล้ว)

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิดคือความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นกู้เอกชน ที่แต่เดิมทีก็อยู่ในระดับแย่อยู่แล้ว ซึ่งหากมาเจอเหตุการณ์นี้เข้าไปอีก อาจทำให้ Corporate bond spread จะยังยืนอยู่ในระดับสูงต่อไปได้ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทเอกชนได้ต่อไป