แจ้งข้อหาหนัก! “ครูนิว” หลอกศิษย์ชำเราในรีสอร์ท

2020-05-19 16:40:33

แจ้งข้อหาหนัก! “ครูนิว”  หลอกศิษย์ชำเราในรีสอร์ท

Advertisement

ผกก. สภ.ปะทิว แจ้งข้อหาหนัก “ครูนิว” ล่อลวงนักเรียนหญิงอายุ 12 ปีไปกระทำชำเราในรีสอร์ท

จากกรณีที่ น.ส.จอย พร้อม ด.ญ.เอ ลูกสาว เข้าพบทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม เพื่อให้มายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด ขอให้ตรวจสอบสำนวนคดีเนื่องจากคู่กรณีมีพ่อเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรเกรงว่าจะเกิดการแทรกแซงหรือวิ่งเต้นคดีจนทำให้มีการฟ้องร้องแค่บางข้อหา และทางพ่อของครูนิว ได้มาเจรจาเสนอเงิน 3 แสนบาทเพื่อให้เรื่องจบนั้น

วันที่ 19 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.ศุภเกียรติ เทิดตระกูล ผกก.สภ.ปะทิว เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวนั้น ตนเองซึ่งเป็นผู้กำกับดูแล สภ.ปะทิว ขอยืนยันว่า ได้ทำการอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีใครสามารถมาครอบงำคดีได้ อีกทั้งคดีดังกล่าวทาง พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยให้ทางพนักงานสอบสวน ส่งสำนวนไปตรวจสอบเพื่อให้รัดกุมและครอบคลุมที่สุด เนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก




พ.ต.อ.ศุภเกียรติ เทิดตระกูล ผกก.สภ.ปะทิว กล่าวว่า สำนวนที่ทางพนักงานสอบสวน สภ.ปะทิว ได้ส่งไปนั้น เป็นคดีอาญา ที่ 83/2563 ระหว่าง น.ส.จอย นามสมมุติ ผู้กล่าวหา กับ ผู้ต้องหา คือ “ครูนิว” ครูสอนดนตรี โรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ล่อลวง ด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ 12 ปี ซึ่งเป็นลูกศิษย์และเป็นบุตรสาวของ น.ส.จอย ไปกระทำชำเราในรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ซึ่งจากการสอบสวนข้อเท็จจริง ได้ความว่า เมื่อวันที่ 14 ก.พ.63 เวลาประมาณ 07.30 น.ทาง น.ส.จอย ได้ขับรถ จยย.ไปส่ง ด.ญ.เอ บุตรสาวที่โรงเรียน ต่อมาเวลา 09.50 น.ของวันเดียวกันได้มีครูที่โรงเรียนได้มาหา น.ส.จอย ที่ทำงาน และแจ้งว่าลูกสาวไม่ทราบไปไหนกับใคร ทาง น.ส.จอย จึงได้โทรศัพท์หาแต่ไม่สามารถติดต่อได้ น.ส.จอย จึงเดินทางไปยังโรงเรียนเพื่อสอบถามเพื่อนๆ ในชั้นเรียน ซึ่งได้ความว่าบุตรสาว ได้นั่งรถตู้ออกไปกับครูนิว เมื่อ น.ส.จอย โทรศัพท์ไปถาม ทางครูนิวได้ปฏิเสธว่าไม่ได้รับ ด.ญ.เอ ไป น.ส.จอย จึงได้ไปนั่งรอที่ห้องฝ่ายปกครอง กระทั่งเวลา 12.00 น. ครูนิวได้ขับรถตู้กลับเข้ามาในโรงเรียนเพียงคนเดียว และทาง น.ส.จอยและครูคนอื่นๆได้สอบถามแต่ ครูนิว ไม่รับว่าได้พา ด.ญ.เอ ไป หลังจากนั้นไม่นาน ด.ญ.เอ ได้ส่งข้อความมาบอกว่าอยู่ที่ทำงานของมารดาแล้ว น.ส.จอย จึงรีบเดินทางไปหาพร้อมสอบถามจนทราบว่า ครูนิว ได้ชวนขึ้นรถไปขนกล้วยไม้ แต่กลับพาไปที่รีสอร์ทและได้กระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ ซึ่งจากนั้นทาง น.ส.จอย ก็ได้พา ด.ญ.เอ มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.ปะทิว ดังกล่าว

ผกก.สภ.ปะทิว กล่าวต่อว่า หลังจากพนักงานสอบสวน ได้รับแจ้งและได้ดำเนินการสอบสวนโดยมีสหวิชาชีพร่วมสอบด้วย และได้เก็บหลักฐานต่างๆ อาทิ การใช้โทรศัพท์ที่ ครูนิว โทรหา ด.ญ.เอ เวลา 09.00 น.ให้ไปพบที่รถตู้ ตรวจสอบโทรศัพท์ที่เพื่อนรุ่นพี่โทรไปสอบถามว่าอยู่ไหน นำตัวไปตรวจร่างกาย เพื่อหาร่องรอยการกระทำชำเรา หาสารคัดหลั่งในช่องคลอด เป็นต้น ซึ่งผลจากการชันสูตร จาก รพ.ปะทิว ตรวจพบบาดแผลฉีกขาดของเยื่อพรหมจารีย์ มีบาดแผลถลอกบริเวณอวัยวะด้านนอกและสารคัดหลั่งจากต่อมลูกหมากในช่องคลอดของ ด.ญ.เอ ประกอบกับภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดที่ได้จากรีสอร์ทที่บันทึกรถตู้ของครูนิว เข้าและออกในเวลาที่ ด.ญ.เอ หายตัวไป ยืนยันการกระทำผิด เห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาฐาน “พาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อทำการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตามโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตนเอง โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามและเป็นการกระทำแก่ผู้สืบสันดาน ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล ผู้อยู่ในความควบคุมตามหน้าที่ราชการหรือผู้อยู่ในความปกครองในความพิทักษ์หรือในความอนุบาล” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม,283ทวิ วรรคสอง,317วรรคสาม,285(แก้ไขเพิ่มโดย ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่19) พ.ศ.2550 มาตรา3)



พ.ต.อ.ศุภเกียรติ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งหมดทั้งมวล ในข้อหาถือว่าครูนิวมีอัตราโทษหนักที่สุด คือ จำคุกตลอดชีวิต และยังทวีคูณเป็นสามเท่า ฐานเป็นครูที่กระทำต่อศิษย์ จึงขอให้ทางผู้เสียหายเชื่อในกระบวนการยุติธรรม คือต้องเป็นไปตามหลักฐานของความจริง หากความจริงปรากฏชัดเจน ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด เช่นคดีนี้แม้ทางผู้ต้องหา จะมีบิดาเป็นข้าราชตำรวจก็ตาม ไม่สามารถจะเข้ามาบิดเบือนรูปคดีได้

ส่วนในเรื่องเงิน จำนวน 3 แสนบาท ที่ น.ส.จอย แม่ของเด็กหญิงผู้เสียหายกล่าวถึงนั้น เป็นกระบวนการของการเจรจาตกลงค่าชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งเป็นค่าเยียวยาด้านสุขภาพอนามัย ชื่อเสียงและครอบครัว ซึ่งเป็นไปตามสิทธิของ พรบ.กฎหมายของกระทรวงยุติธรรม และในเบื้องต้นทางผู้เสียหาย ได้เรียกร้องไปเป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท แต่ทางผู้ต้องหายินยอมชดใช้ จำนวน 3 แสนบาท ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ ถึงสองครั้ง ทางผู้เสียหายก็ยังสามารถทำเรื่องเรียกร้องต่อศาลได้ ซึ่งเป็นคดีแพ่ง และเป็นคนละเรื่องกับคดีอาญา