ซูเปอร์โพล เผยเกษตรกรยิ้มแก้มบานหลังนำเงินเยียวยา 5 พันบาทจากกระทรวงเกษตรฯ ไปใช้จ่ายค่าครองชีพ
เมื่อวันที่ 16 พ.ค.63 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ความสุขเกษตรกร กรณีการแจกเงินเยียวยาของกระทรวงเกษตรช่วงเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กรณีศึกษาเกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน 1,124 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 11-15 พ.ค.ที่ผ่านมา
พบเกษตรกรส่วนใหญ่ร้อยละ 95.5 ถูกใจมาตรการแจกเงินเยียวยาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ช่วงโควิด-19 ส่วนเกษตรกรร้อยละ 4.5 ระบุว่าไม่ถูกใจ เมื่อถามว่าหากกระทรวงเกษตรฯ ไม่แจกเงินเยียวยาเกษตรกรช่วงวิกฤตโควิด-19 จะเดือดร้อนเป็นทุกข์หรือไม่ พบเกษตรกรส่วนใหญ่ร้อยละ 91.9 ระบุว่าเดือดร้อนเป็นทุกข์ ส่วนร้อยละ 8.1 ระบุว่าไม่เดือดร้อน
นอกจากนี้เกษตรกรส่วนใหญ่ร้อยละ 94.1 ยังระบุว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังคงเป็นที่พึ่งของเกษตรกร ขณะที่ร้อยละ 5.9 ระบุว่าพึ่งไม่ได้ เมื่อสอบถามถึงการรับรู้ต่อพรรคประชาธิปัตย์ ที่ช่วยผลักดันให้เกิดการแจกเงินเยียวยาเกษตรกรช่วงโควิด-19 พบเกษตรกรส่วนใหญ่ร้อยละ 91.1 รับรู้ ขณะที่เกษตรกรร้อยละ 8.9 ระบุส่าไม่รับรู้
ที่น่าพิจารณา คือ การใช้เงินของเกษตรกรที่ได้รับเงินเยียวยาจากกระทรวงเกษตรฯ พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ร้อยละ 77.3 ใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าครองชีพ เช่น ซื้อของกินของใช้ประจำวัน รองลงมาร้อยละ 47.4 จะต่อยอดทำมาหากิน เช่น จ่ายค่าเช่าที่ทำกิน, ซื้อเมล็ดพันธุ์, ซื้อพันธุ์ปลา, ซื้ออุปกรณ์จับปลา และเครื่องมือทำมาหากิน
ขณะที่เกษตรกรร้อยละ 20.9 ระบุว่า จะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของลูกหลาน ขณะที่ร้อยละ 14.1 ระบุว่าจำนำเงินไปเป็นค่ารักษาดูแลสุขภาพ, ร้อยละ 13.4 ระบุว่าจะนำไปใช้หนี้ในระบบ, ร้อยละ 11.8 ระบุว่าจะนำไปใช้หนี้นอกระบบ, ร้อยละ 10.9 ระบุว่า จะนำไปทำบุญบำรุงพระศาสนา และร้อยละ 19.6 ระบุอื่นๆ เช่น ค่ารถ, ค่าไฟฟ้า, ค่ามือถือ และค่าน้ำ เป็นต้น
ที่น่าสนใจ คือ ผลสำรวจพบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ร้อยละ 97.3 มีความสุขจากการได้รับเงินเยียวยารายละ 5,000 บาท นาน 3 เดือนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ ช่วงเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่เกษตรกรร้อยละ 2.7 ระบุว่า ไม่มีความสุขที่กระทรวงเกษตรฯ จ่ายเงินเยียวยา
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า เกษตรกรกำลังมีความสุข เพราะนำเงินเยียวยาที่ได้จากกระทรวงเกษตรฯ ไปใช้จ่ายเรื่องค่าครองชีพในชีวิตประจำวัน และการต่อยอดทำมาหากิน แต่ถ้ารัฐบาลเร่งออกมาตรการ “ฟรีสร้างอาชีพ” โดยเชิญชวนให้ประชาชนไปลงทะเบียนรับของฟรีจากศูนย์รวมตามชุมชนต่างๆ ไปประกอบสัมมาอาชีพ ไม่เป็นพิษต่อสังคมและตนเองได้
อาทิ การให้ฟรีพันธุ์พืช, พันธุ์สัตว์, ฟรีอินเตอร์เนตไฮสปีด, ฟรีช่องทางการตลาด, ฟรีความรู้และฝึกทักษะอาชีพชั้นสูง, ฟรีพลังงานแสงอาทิตย์, ฟรีน้ำบาดาลเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง และการให้ฟรีเกี่ยวการทำเกษตรอื่นๆ น่าจะช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะเกษตรกร ไว้วางใจรัฐบาลในอนาคตได้ไม่ยากนัก