รายงานการติดเชื้อโควิด-19 ของไทยวันที่ 5พ.ค.63 มีเพียง 1 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
ตามนี้นะ ไม่มีวงเล็บ หมายเหตุอื่นใดให้สงสัยอีก ยอดสะสมทั้งสิ้น เป็น 2,988 ราย ผู้ที่หายป่วยกลับบ้านได้ เพิ่มอีก7 รวมที่กลับบ้านแล้ว 2,747 ราย คิดเป็น 91.93 ของทั้งหมด เหลือรักษาในโรงพยาบาล 187 รายหรือ 6.26% ผู้ติดเชื้อที่พบเพียงรายเดียว เป็นชายไทย อายุ 45 ปี ภูมิลำเนา จ.นราธิวาส มีโรคประจำตัว เบาหวาน เข้ารับการรักษาด้วยอาการไข้ มีน้ำมูก เจ็บคอ มีเสมหะ หายใจเหนื่อย ปอดอักเสบ ส่วนข้อสงสัยผลการตรวจเชื้อโควิด-19 ที่ครั้งแรกพบผู้ติดเชื้อถึง 40 ราย แต่เมื่อตรวจซ้ำให้ผลเป็นตรงข้าม จึงต้องนำตัวอย่างมาทดสอบที่ห้องปฏิบัติการฯ อ้างอิงของประเทศที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การ แพทย์ ซึ่งจะทราบผลในอีก 1-2 ข้างหน้า ผลจากการควบคุมอย่างเคร่งครัดด้วยมาตรการต่าง ๆ ล่าสุดมีรายงานว่า จังหวัดที่มีผู้ป่วยในช่วง 28 วัน มี 34 จังหวัด และพื้นที่ไม่มีผู้ป่วยในรอบ 28 วัน ก็ 34 จังหวัดเช่นกัน ส่วน 9 จังหวัดที่ไม่มีผู้ป่วยมาก่อน ก็ยังรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้ รายงานแจ้งปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา อันดับหนึ่ง จากศูนย์กักกัน 60 ราย อันดับสองจากการสัมผัสใกล้ชิดกบัผู้ป่วยรายก่อนหน้า 49 ราย อันดับสาม จากการค้นหาเชิงรุก 31 ราย อันดับสี่ เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและอยู่ในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) 13 ราย อันดับที่ห้า เป็นกลุ่มที่ไปในสถานที่ชุมชน เช่น ตลาดนัด 8 ราย ปรากฏว่าทั้งหมดนี้ สิ่งที่น่าห่วงที่สุด คืออันดับที่ห้า เพราะแม้ก่อนหน้านี้ มีการควบคุมเคร่งครัดยังเป็นจุดเสี่ยง แต่ขณะนี้เป็นช่วงการผ่อนปรน การเผลอไผลให้เกิดการสัมผัสจากความแออัดย่อมมีขึ้นได้ คงต้องไปเฝ้าเตือนห้ามปรามกันให้เข้มกว่าที่เคย ที่น่าสนใจกว่านั้น เป็นข้อมูลจากการสำรวจความคิดเห็นผ่านระบบออนไลน์ เพื่อติดตามความตระหนักและความร่วมมือกับมาตรการอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ในช่วงเดือน เม.ย.63 กับกลุ่มตัวอย่างเกือบ 1 แสนราย ผลออกมาว่า 99.8%เห็นว่า มาตรการนี้ จะลดการระบาดของเชื้อได้ แต่เมื่อสอบถามถึงการป้องกันตนเอง พบว่า การใส่หน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้า ออกมาน่าชื่นใจ ความร่วมมือกว่า 90% การกินร้อน ช้อนส่วนตัว ได้ถึง 86.1 การล้างมือ ใช้เจลแอลกอฮอล์ ก็มากถึง 87.2% แต่การไม่เอามือสัมผัสหน้า จมูก ปาก และการรักษาระยะห่าง 1-2 เมตร ยังให้คะแนนน้อยกว่ากัน ระดับแค่ 62-65% ทั้งที่เป็นสิ่งที่จะมีผลต่อการแพร่เชื้อ รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายๆ ที่แนะนำการนั่งรับประทานอาหารห่างกัน โดยเฉพาะวงชาบู สุกี้ เห็นทีจะต้องปรับวิธีสื่อสารใหม่ สำหรับกิจการที่ผู้ตอบแบบสอบถาม มีความเห็นว่าอันใดควรเปิดหรือไม่ ส่วนใหญ่ 69.9 ให้ตลาดสด ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า เปิดได้ ส่วนร้านตัดผม คลินิกเสริมความงาม นวดแผนโบราณ สปา มีคนตอบยอมให้เปิด 45.7% ที่ไม่อยากให้เปิดมากที่สุด กลุ่มของสนามมวย สนามกีฬา สนามแข่งขัน สนามม้า รองลงมาคือ ผับ สถานบริการ สถานที่แสดงมหรสพ สถานประกอบการอาบอบนวด ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียนประถม มัธยม มหาวิทยาลัย
แต่ทุกที่ที่ยอมให้เปิดก็มีข้อเสนอว่า ต้องมีมาตรการดูแล เพราะขณะนี้ไม่ใช่วิถีชีวิตปกติ แต่ต้องเป็นชีวิตวิถีใหม่ ที่ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยจากความเสี่ยงโรคภัย คำตอบแบบสอบถามอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทั้งหลายต้องระวัง ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะทางฝ่ายความมั่นคงมีท่าทีจริงจังกับการส่งทีมสุ่มตรวจ พบร้านค้าไม่ทำตามกติกาที่กำหนดก็ปิดทันที
ที่ชัดเจนกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาตำหนิตรงไปตรงมากับการแย่งยื้อซื้อเหล้า กำชับว่าอย่าให้มี ต้องจัดการไม่ให้เกิดขึ้นได้ ไม่งั้นก็ปิด
สัญญาณชัดขนาดนี้ ทุกแห่งมีสิทธิถูกปิดเท่ากัน
ถ้าย่อหย่อนกับมาตรการที่กำหนดไว้