ระทึกรับ"นิวนอร์มอล" บทเรียนต่างประเทศที่มองข้าม

2020-05-04 10:50:07

ระทึกรับ"นิวนอร์มอล"  บทเรียนต่างประเทศที่มองข้าม

Advertisement


ใช้คำว่า "โกลาหล"ก็คงไม่ผิด


ผู้คนหลั่งไหลทะลักเดินทางข้ามจังหวัด รับวันหยุดยาว ทั้งที่ศบค.เคยเสนอครม.ให้ยกเลิกเป็นวันหยุด

คนในกรุงเทพฯและปริมณฑล พาเหรดออกต่างจังหวัด เช่นเดียวกับคนในหลายจังหวัดที่เดินทางข้ามเขตกลับภูมิลำเนา ถนนหลายสายติดยาวเหยียดเป็นสิบๆกม. ยิ่งเส้นทางสู่อีสานยิ่งแน่นหนา


โคราช เมืองหน้าด่านสู่อีสานต้องทำงานรับมืออย่างหนัก เพราะคนทะลักเดินทางผ่านไม่ต่างจากช่วงเทศกาล ไม่รู้ใครเป็นใคร ต้องวางแนวทางเข้มโดยเฉพาะคนที่เดินทางมาจาก 10 จังหวัดเสี่ยง




คนตกค้างในภูเก็ตต่างขยับเคลื่อนย้ายเดินทางหลายพันคนกระทั่งต้องสั่งเบรคแบ่งบางส่วนไปวันอื่น เพราะเกินกว่าเจ้าหน้าที่จะรับมือได้ ขณะที่จังหวัดปลายทาง ส่วนใหญ่สั่งให้กักตัวดูอาการที่บ้าน 14 วัน ห้ามไปเพ่นพ่านที่อื่น


แต่ทางมหาดไทย กลับให้นโยบายอีกอย่าง ใครที่เคยโดนกักตัว 14 วันแล้วไม่ต้องโดนกักตัวเพิ่ม ทำเอาผู้ปฏิบัติกุมขมับ ไม่รู้จะเอายังไงดี


คนใช้บริการเครื่องบิน ก็ต้องหาข้อมูลปลายทางก่อนขึ้นเครื่อง เพราะหลายจังหวัดห้ามคนภายนอกเข้า ขืนทะเล่อทะล่าเข้ามา จะโดนกักตัว 2 สัปดาห์ไปไหนไม่ได้


ส่วนเจ้าของร้านค้า ร้านอาหาร กิจการที่ได้รับอนุญาตให้เปิดได้ตั้งแต่ 3 พฤษภาคม ก็ต้องกุลีกุจอเตรียมจัดการให้พร้อม รวมทั้งจัดระยะห่างลูกค้า ต้องจัดหาเจลล้างมือ เครื่องมือตรวจวัดอุณหภูมิลูกค้าตามประกาศคำสั่ง




ด้านคอเหล้าคอเบียร์ก็กระหยิ่มยิ้มย่อง หลังจากเจอคำสั่งห้ามซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มา 2-3 สัปดาห์ คราวนี้ตั้งแต่ 3 พฤษภาคม จะถูกปลดล็อค ซื้อหาได้ตามปกติ จะได้หยุดเปรี้ยวปากเสียที ทั้งที่หลายฝ่าย อยากให้คงกฎเกณฑ์ห้ามซื้อขายเหล้าและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ไว้ก่อน อีกทั้งคอเหล้าส่วนใหญ่ มักจะไม่นั่งดื่มคนเดียว ต้องมีพรรคพวก ญาติพี่น้อง และคนบ้านใกล้เรือนเคียงมาร่วมวงด้วย จึงจะมีรสชาติ


ดื่มไปคุยฟุ้งน้ำลายแตกฟองไป แก้วใครช้อนใครมั่วอีรุงตุงนัง เผลอๆมีทะเลาะฟาดกันได้เลือดอีกต่างหาก

ยังไม่นับการดำเนินชีวิตแบบใหม่ หรือ นิว นอร์มอล ที่บุคคลากรทางการแพทย์ได้ย้ำนักย้ำหนาว่าผู้คนต้องมีการปรับตัวใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อโควิด 19

ทั้งการออกแบบชีวิตให้อยู่ห่างคนอื่น ล้างมือบ่อยๆ ใช้เจลแลกอฮอล์ ไม่เข้าพื้นที่เสี่ยง หรือจับกลุ่มเม้าท์มอย


จะทำได้แค่ไหน ยังไม่มีใครรู้ แถมล่าสุด มีข่าวด้วยว่าจะไฟเขียวเปิดห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ด้วย ยิ่งทำให้น่างุนงงสงสัยเข้าไปใหญ่ ก็ไหนบอกจะรอ 14 วัน หลัง 6 กลุ่มกิจการและกิจกรรมเปิดให้บริการก่อน แล้วจึงจะประเมินกันอีกที ซึ่งหากเป็นจริง เท่ากับชักเลอะเทอะไร้ระเบียบกติกากันไปใหญ่


เพราะลำพังกลุ่มแรก ก็น่ากังวลใจพอแล้ว เพราะมนุษย์ทั่วโลก รวมทั้งคนไทย ต่างเป็นมนุษย์สังคม และวิถีชีวิตบางอย่างก็ถูกบังคับให้เป็น อย่างเช่นเบียดเสียดกันในรถสองแถว หรือรถรับส่งคนงานที่ต่างหายใจรดต้นคอกันก็ว่าได้


ยังไม่นับรวม ความเลินเล่อและกฎมีไว้แหก อย่างหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ตอนนี้มีเยอะ แต่คนไทยเริ่มที่จะไม่ใส่ หรือคาดไว้ใต้คางแทน




หารู้ไม่ว่า นี่เป็นความเสี่ยงที่เราไม่ควรจะไปเสี่ยงด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เราต่างระวังให้ความร่วมมือ ไม่อยากจะสร้างภาระเพิ่มขึ้นให้กับคุณหมอ พยาบาลและบุคคลากรทางการแพทย์ โดยการ"อยู่บ้าน หยุดเขื้อ เพื่อชาติ"


ขณะที่เรื่องความประมาท หรือการเร่งรีบผ่อนคลายมาตรการในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น หรือแม้แต่เพื่อนบ้านอาเซียน อย่างสิงคโปร์ ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงไม่หยุด และกรณีญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ก็มาจาก"เซกัลด์ เวฟ" หรือผู้ติดเชื้อระลอก 2 อันเกิดจากความชะล่าใจ


ส่วนไทย จะไม่เป็นอย่างนั้นหรือไม่ อาจต้องรออีก 14 วัน ตอนนี้ ภาวนากันไปก่อนครับ