“หมอโสภณ” เตือนคนทำงาน ออกไปนอกบ้านนำเชื้อโควิด-19 เข้าบ้าน

2020-04-28 04:00:38

“หมอโสภณ” เตือนคนทำงาน ออกไปนอกบ้านนำเชื้อโควิด-19 เข้าบ้าน

Advertisement

“หมอโสภณ” เผยผู้ที่ทำงาน ออกไปนอกบ้านนำเชื้อโควิด-19 เข้าบ้าน ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อภายในครอบครัว หากเป็นกรณีคู่สามีภรรยา โอกาสติดสูงถึงร้อยละ 43 และยังทำให้ลูก พ่อแม่ ที่สัมผัสใกล้ชิดในครอบครัวมีโอกาสติดเชื้อด้วยร้อยละ 14.8-16.4

เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงแรกของการพบผู้ป่วยโรคโควิด 19 ในประเทศไทย เป็นการติดเชื้อมาจากต่างประเทศ เมื่อรัฐบาลมีนโยบายยกเลิกเที่ยวบินจากต่างประเทศ ทำให้รูปแบบการติดเชื้อเปลี่ยนไปเป็นการติดภายในประเทศ จากพฤติกรรมที่คนอยู่ใกล้ชิดกัน การไปในสถานที่แออัด เช่น ตลาด สถานบันเทิง หรือป่วยแล้วไม่หยุดงาน จึงมีการแพร่เชื้อเป็นวงกว้าง รวมทั้งผู้ที่ทำงานหรือออกไปนอกบ้านนำเชื้อเข้าบ้าน ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อภายในครอบครัว หากเป็นกรณีคู่สามีภรรยา โอกาสติดสูงถึงร้อยละ 43 และยังทำให้ลูก หรือพ่อแม่ ที่สัมผัสใกล้ชิดในครอบครัวมีโอกาสติดเชื้อด้วยร้อยละ 14.8-16.4

นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุระหว่าง 0-14 ปีพบว่า เกิดจากการสัมผัสพ่อแม่ ถึงร้อยละ 45 รองลงมาเป็นการสัมผัสจากบุคคลที่อาศัยร่วมบ้านร้อยละ 24 และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปป่วยจากการสัมผัสคนร่วมบ้านร้อยละ 34 ดังนั้น การป้องกันที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดระหว่างคนในครอบครัวเมื่อมีอาการไข้หรืออาการทางเดินหายใจ เว้นระยะห่าง ใช้หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่ออยู่ในบ้าน หากมีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก ให้แยกสิ่งของเครื่องใช้ สำรับอาหารเพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อ

นพ.โสภณกล่าวต่อว่า ขณะนี้ รัฐบาลกำลังพิจารณาผ่อนปรนมาตรการ จะส่งผลให้มีการเดินทาง พบปะกันมากขึ้น ภาคธุรกิจหลายแห่งจะเริ่มเปิดกิจการอีกครั้ง อาจมีโอกาสทำให้จำนวนผู้ป่วยกลับมาเพิ่มมากขึ้นได้อีก ขอให้ผู้ประกอบการจัดเตรียมมาตรการสำหรับองค์กรเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ เช่น การทำงานจากบ้าน การเหลื่อมเวลาการทำงาน หรือการเว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดโดยไม่ได้ป้องกัน รวมถึงให้ประชาชนตระหนักถึงมาตรการส่วนบุคคล การสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่างระหว่างกัน นับเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป