พายุถล่ม “บ้านทรงไทย” พังยับ ทับเด็กคนงาน 15 ปีดับ

2020-04-22 13:10:00

พายุถล่ม “บ้านทรงไทย”  พังยับ ทับเด็กคนงาน 15 ปีดับ

Advertisement

สุดระทึก! พายุฝนพัดกระหน่ำบ้านทรงไทยพังถล่มทั้งหลัง ทับเด็กคนงานวัย 15 ปีดับคาที่ พบเพิ่งสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ คาดเกิดจากปัญหาโครงสร้าง หลังเจอลมพายุพัด

เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 21 เม.ย.นายสมลักษ์ ยกน้อยวงศ์ นายอำเภอเมืองนครพนม ประสานเจ้าหน้าที่ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานเกี่ยวข้อง เทศบาลตำบลหนองญาติ ทีมกู้ภัยสมาคมศรีสัตตนครพนม 2019 และกู้ภัยนครพนม ร่วมตรวจสอบให้การช่วยเหลือ และกู้ร่างผู้เสียชีวิตออกจากซากบ้านพังถล่ม หลังมีชาวบ้านแจ้ง มีเหตุบ้านทรงไทย ยังไม่มีเลขที่พังถล่มทั้งหลัง ในพื้นที่บ้านภูเขาทอง หมู่ 12 ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม ทำให้มีผู้เสียชีวิตติดอยู่ในซากบ้านพังถล่ม ภายหลังเจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบ วางแผนหาทางกู้ร่างผู้เสียชีวิต ซึ่งได้นำรถเครนมายกตัวบ้านขึ้น และเข้าไปกู้ร่างผู้เสียชีวิตออกมาได้ ทราบเพียงชื่อเล่น นายมาร์ค อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนบ้านนางัว ต.นางัว อ.นาหว้า จ.นครพนม ในสภาพนอนตะแคงข้าง สวมเสื้อยืดแขนสั้นกีฬาน้ำเงิน กางเกงขายาวสีดำ ถูกคานบ้านและเสาทับเสียชีวิตคาที่ เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบชันสูตรประกอบการดำเนินคดี

เบื้องต้นจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้เกิดพายุฝนตกลงมาอย่างหนักประมาณ 30 นาที จากนั้น มีชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงพบเห็นบ้านหลังดังกล่าว ซึ่ง เป็นบ้านทรงไทย เพิ่งก่อสร้างใกล้เสร็จสมบูรณ์ และมีการถมที่ใหม่ เพื่อปลูกสร้าง ขณะเกิดพายุได้ถล่มพังลงทั้งหลัง โดยขณะเกิดเหตุ มีทีมช่างทำงานก่อสร้างบ้าน พักอยู่ ประมาณ 5 -6 คน ซึ่งนั่งอยู่บนบ้าน ต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ส่วนผู้ตายโชคร้าย นั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน ทำให้หนีไม่ทัน บ้านพังถล่มทับเสียชีวิตคาที่ ที่สำคัญผู้เสียชีวิต เป็นนักเรียน ที่ญาติชักชวนมาทำงานรับจ้าง หารายได้พิเศษ ช่วงปิดภาคเรียน เพื่อนำเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายช่วยครอบครัว แต่มาโชคร้ายถูกบ้านทับตาย




สำหรับสาเหตุเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า น่าจะมีปัญหาจากโครงสร้างฐานราก ที่อาจไม่แข็งแรงพอ บวกกับเป็นพื้นที่ถมใหม่ ทำให้ฐานยังไม่มีความแข็งแรงพอ บวกกับพายุลมแรง เป็นเหตุให้โครงสร้างรับแรงพายุไม่ไหวถล่มลงทั้งหลัง หลังเกิดเหตุ ร.ต.อ.อภิชา วงศ์เวียน รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองนครพนม ได้ประสานเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบ เก็บหลักฐานเบื้องต้น หาสาเหตุโดยละเอียด ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป