ดูสิงคโปร์ก่อนคิดผ่อนคลายล็อก จุดอ่อนวางใจไม่เข้มกฎDistancing

2020-04-19 19:25:02

ดูสิงคโปร์ก่อนคิดผ่อนคลายล็อก   จุดอ่อนวางใจไม่เข้มกฎDistancing

Advertisement




สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 วันที่ 19 เม.ย.63 มีผู้ป่วยใหม่ 32 คน ยอดสะสม 2,765 ราย


ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม




ที่รักษาหายมีอีก 141 ราย รวมทั้งสิ้น 1,928 คนที่กลับบ้านไปแล้ว


ประเด็นที่ต้องใส่ใจ รายใหม่วันนี้เท่ากับวันวาน ซึ่งเพิ่มกว่าวานซืนที่มี 28 คน


มีคำอธิบายว่า จำนวนนี้ 28 คน อยู่ในระบบเฝ้าระวัง อีก 4 เป็นกลุ่มกักตัว State Quarantine จำแนกตามสาเหตุ พบความใกล้ชิด สัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้า 18 ราย ไปที่ชุมนุม ตลาดนัด 2 อาชีพเสี่ยง3 รอการตรวจสอบ 5 กลับมาจากต่างประเทศ 4


เฉพาะที่กลับจากต่างประเทศ 1 รายอยู่ในกลุ่มที่มาจากอินโดนีเซีย 76 คน ซึ่งติดเชื้อไปแล้ว 61 คน รวมกับรายนี้จึงเป็น 62




ที่กลับจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มอีก 1 จากอังกฤษ 2 ราย


การกักตัวผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศจึงเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อที่อาจเกิดขึ้นที่ได้ผล


นอกจากกลุ่มอาชีพเสี่ยง การเข้าไปในที่แออัด ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด และกลับจากต่างประเทศ เมื่อจำแนกตามวัย มีสถิติ ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 20-29ปี จึงทำให้อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยลดลงที่ 39 ปี โดยมีจำนวน 658 รายหรือ 1ใน 4 ของผู้ติดเชื้อ


ทั้งนี้ ถ้าดูเฉพาะตัวเลขผู้ป่วยใหม่แต่ละวันที่คงอยู่ระดับ28-34 ติดต่อกัน 8 วันแล้วจึงมีกระแสความต้องการผ่อนคลายความเข้มงวดการมีระยะห่างทางกายภาพ หรือ Social Distancing ที่คาดหวังถึงขั้นเชื่อว่ากิจการบางอย่างเช่น ห้างสรรพสินค้าจะเปิดให้ช็อปกันได้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.63 ในขณะที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา2019และคุณหมอทั้งยังเตือนให้ระวังอย่าการ์ดตก


เพราะประเทศข้างเคียงยังมีอัตราการแพร่เชื้อเพิ่มขึ้น และที่ตื่นเต้นสงสัยทั่วกันเวลานี้ เหตุใดสิงคโปร์ที่ชะลอการระบาดอย่างดีมาถึง 3 เดือน จู่ ๆ ช่วง 2 สัปดาห์มานี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่กลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว


จากตัวเลขราวหลักร้อยในเดือนมี.ค.63 เพิ่มขึ้นวันละ100 เศษ ช่วงสัปดาห์แรกของเดือน เม.ย.63 วันที่ 8 เม.ย.เพิ่มขึ้น 287 คน และบวกวันละ200 ถึงวันที่ 12เม.ย. วันที่ 13-15 ขึ้นไปกว่า 300 – 400 วันที่ 16 เพิ่มขึ้น 623 ราย วันที่ 17 สูงถึง 942 ราย


ยอดรวมเกิน6,500 คน หรือเพิ่มขึ้นสิบเท่าภายในเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์




สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) วิเคราะห์ข้อมูลและสรุปที่มาปัญหาของสิงคโปร์ว่า เกิดจากจุดอ่อน 6 ประการ ได้แก่


1.การติดเชื้อจากหอพักคนงานต่างชาติที่อยู่กันอย่างแออัด กว่าครึ่งของผู้ป่วยเป็นกลุ่มนี้ หรือราว 2,000 รายจาก 19 หอพัก ของที่มีทั้งหมด 43 แห่ง


ทั้งนี้ คนงานต่างชาติมีทั้งหมด 1,400,000 คน แบ่งเป็นกลุ่มวิชาชีพชั้นสูงและผู้ใช้แรงงาน ทำงานก่อสร้าง 284,000คน ทำงานบ้าน 255,000


2.คนสิงคโปร์กลับจากต่างประเทศ ราว 500 คน ให้กักตัวที่บ้าน 14 วัน แต่ส่วนหนึ่งไม่เข้มงวด มีการสัมผัสกับคนในบ้านและแพร่เชื้อต่อ ตอนนี้จึงใช้การกักตัวโดยรัฐ (Government quarantine)



3.การไม่ปฏิบัติตามกฎ Social Distancing มีการร่วมกลุ่มกิจกรรม เช่นงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง ทำให้มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 47 ราย การออกจากบ้านโดยไม่จำเป็นหรือไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกสู่พื้นที่สาธารณะ รัฐบาลแก้ไขโดยจัดเจ้าหน้าที่ 3,000 คน คอยตรวจตรา และปรับผู้ฝ่าฝืนไปแล้วกว่า1,000 ครั้ง


4.บ้านพักคนชรา มีความเสี่ยงสูงมาก พบแห่งหนึ่งติดเชื้อ 16 ราย เสียชีวิต 2 ราย ทั้งคู่อายุ 86 ปี โดยผู้เสียชีวิตจำนวน 10 เป็นผู้มีอายุเกิน 60 ปี




5.ศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนเตรียมอนุบาล เด็กจำนวนมากเป็นพาหะของโรคที่ไม่แสดงอาการ ติดเชื้อจากผู้สูงอายุหรือไปสู่ผู้สูงอายุในครอบครัวโดยไม่รู้ตัว ที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อ 30 ราย จากศูนย์เด็กเล็ก 2 แห่ง อีก 10 รายจาก 10 ศูนย์ มีทั้งเจ้าหน้าที่ เด็ก และสมาชิกในครอบครัว


ผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้ รวม 40 ราย เป็นเด็ก 8 คน ผู้ใหญ่ 32 คน กลุ่มใหญ่ที่สุดจากศูนย์เด็กเล็กแห่งเดียวติดถึง 27 ราย เป็นเด็ก 4 ผู้ใหญ่ 23 คน


ทางการสิงคโปร์ได้สั่งระงับบริการของศูนย์เด็กเล็กตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.63


6.สถานที่ทำงาน เนื่องจากยังต้องมีคนทำงานอย่างต่อเนื่อง ถึง 20% สำหรับบริการที่จำเป็น ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ กำลังพยายามลดกิจการที่จำเป็นลงไป ส่วนที่ยังจำเป็นและได้รับอนุญาตให้เปิดกิจการก็ต้องมีมาตรการดูแลระมัดระวังอย่างมาก เช่นสวมหน้ากาก จัดโต๊ะทำงานห่างกัน รับประทานอาหารแยกจากกัน


การจะคลายกฎให้กิจการต่าง ๆ กลับมาดำเนินการได้ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ให้ซ้ำรอยสิงคโปร์


ถ้าเผลอให้ผู้ติดเชื้อพรวดพราดวันละหลักร้อย หลักพัน จะอยู่ยาก