โดนเมาท์ขายมรดกกิน "หนึ่ง มาฬิศร์" แจงดราม่าไม่ได้ตกอับ โพสต์ขำๆ ดันเป็นเรื่อง

2020-04-19 08:20:31

โดนเมาท์ขายมรดกกิน "หนึ่ง มาฬิศร์" แจงดราม่าไม่ได้ตกอับ โพสต์ขำๆ ดันเป็นเรื่อง

Advertisement

ไม่ได้หาเงินประทังชีวิต แค่อยากมีส่วนร่วมกับเพจฝากขาย "หนึ่ง มาฬิศร์" ชี้แจงข่าวตกอับงัดมรดกเก่ากิน ...



อดีตพระเอกจักรวงศ์ในตำนาน "หนึ่ง-มาฬิศร์ เชยโสภณ" เจอเมาท์แรงตกอับงัดเอาที่ดินมรดกพ่อแม่ออกขาย จนเจ้าตัวเครียดขึ้นสมอง จากเคยโพสต์ขำๆ ฝากร้านในแฟนเพจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่จัดทำขึ้นมาเพื่อให้ศิษย์เก่าหรือปัจจุบันได้โฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าและธุรกิจของตัวเองในช่วงเชื้อโควิด-19 แพร่ระบาด




ทั้งนี้ "หนึ่ง มาฬิศร์" อดีตนักแสดงละครพื้นบ้านผู้โด่งดัง นั้นเคยเป็นศิษย์เก่าคณะศิลปศาสตร์ เอกการละคร รุ่น 3 รหัสปี 31 ได้เข้าไปโพสต์ฝากขายที่ดินมรดกจากครอบครัว 20 ล้าน โดยมีข้อความระบุว่า





งานนี้หลังจากที่ตั้งใจจะโพสต์เอาฮา แค่อยากมีส่วนร่วมกับแคมเปญดีๆ นี้เพียงเท่านั้น แต่ขณะนี้เริ่มไม่ขำเพราะข่าวที่เมาท์ๆ ว่าเงินหมดตกอับเริ่มไปไกลและแถมมีการเสริมแต่งข้อมูลดราม่ายืดยาวอีกด้วย

ทั้งนี้ เมื่อเห็นว่าข่าวลือคงไม่หยุดลงง่ายๆ เจ้าตัวจึงได้ออกมาโพสต์ชี้แจงไว้ในเพจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการฝากร้าน เช่นเดิม โดยระบุว่า






ซึ่งครั้งหนึ่ง "หนึ่ง มาฬิศร์" หลานชายของ "คุณแดง สุรางค์ เปรมปรีดิ์" ได้ออกมาเปิดเผยชีวิตที่พลิกผัน จากพระเอกที่ละครจักรๆ วงศ์ๆ เรตติ้งพุ่งเป็นอันดับหนึ่ง แต่แล้ววันหนึ่งอยู่ๆ ชีวิตก็หล่นฮวบแบบไม่มีใครเชื่อ ถึงขนาดไม่มีงานทำ ไม่มีเงินกินข้าว

โดย หนึ่ง มาฬิศร์ เผยชีวิตในรายการ แฉ ช่อง GMM25 ว่า ช่วงเข้าวงการแรกๆ มีงานเยอะจนจุดเปลี่ยนของชีวิตอยู่ช่วงอายุ 35





โดย เจ้าตัวได้เผยว่า "คุณพ่อเป็นมะเร็ง เสียชีวิต หลังจากนั้นคุณแม่ก็เสียตาม ก็ถือว่าเป็นลูกกำพร้า แต่ 30 กว่าแล้วก็ใช้ชีวิตต่อไปได้ แต่อยู่ๆ งานก็หายไปเลย เพราะเราไปทำธุรกิจ คนคิดว่าไปทำธุรกิจแล้วไม่ทำงานในวงการแล้ว

รู้ตัวอีกทีก็ไม่มีงานเลย เราก็หน้าบางจะไปของานคนอื่นก็เกรงใจ เงินที่เก็บมาก็ถูกใช้ไป เราใช้แบบไม่ได้วางแผน เพราะคิดว่าเดี๋ยวละครก็เข้ามา มารู้สึกตัวว่าเริ่มไม่ไหวแล้ว เงินไม่มี ขายของทุกอย่างทิ้งหมด"



“เคยไปงานเจอเพื่อน บอกช่วงนี้ไม่มีงานไม่มีข้าวกินเลย คนก็ไม่เชื่อ ทั้งๆ ที่เราพูดความจริง ก็เลยตัดสินใจว่างั้นก็ไม่ต้องพูดเพราะเมื่อพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ผมใช้บัตรเครดิตกดเงินสด เพราะหวังน้ำบ่อหน้า ว่าจะมีงานเข้ามา ก็เป็นหนี้บัตรเครดิตมหาศาล มีประมาณ 10 กว่าใบ รูดหมดทุกใบ เงินที่ทำงานมา 10 ปี ก็เอาออกมาใช้หมด เริ่มขายของแบรนด์ต่างๆ จนสุดท้ายไม่เหลืออะไร ก็ต้องยอม ต้องรักษาชีวิตให้มีข้าวกินต่อไป”



"ก็มีบางช่วงที่ไม่อยากอยู่เหมือนกัน สมัยนี้ก็เหมือนเป็นโรคซึมเศร้า จนต้องหนีความเป็นจริง ต้องหาทางออก หันไปพึ่งยาเสพติด ตำรวจจับ แต่มองว่าเป็นเรื่องดีเพราะถ้าไม่โดนจับ ก็อาจจะดำดิ่งไปลึกกว่านี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนมีคนตบหน้าเรียกสติให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง"



"พอมีเรื่องปุ๊บสิ่งที่มาคือกัลยาณมิตร ทุกคนกลับมาช่วย ให้เอาตังค์ไปกินข้าว ให้ไปสัมภาษณ์งาน ตอนนั้นเรามีติดโทษแบน แล้วก็ได้ไปเขียนหนังสือ จนได้เป็นบก.หนังสือ ตอนนี้ก็กลับมามีละครอีกครั้ง"

"หนึ่ง มาฬิศร์" ได้ฝากปิดท้ายว่า “เรื่องทั้งหมดสอนให้ผมใช้ชีวิตอย่างมีสติ ขอให้มีสติ และสู้กับมัน เราเคยขึ้นไปจุดที่สูงสุดและต่ำสุดแล้ว ทำให้รู้ว่าที่จริงเราควรจะอยู่จุดไหน”