เปิดใจวันว่างๆของ"ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก" ในช่วงที่ต้องหยุดทุกอย่างเพื่อหลีกหนีโควิด-19

2020-04-17 10:00:07

เปิดใจวันว่างๆของ"ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก" ในช่วงที่ต้องหยุดทุกอย่างเพื่อหลีกหนีโควิด-19

Advertisement


เข้าสู่เดือนเมษายนเดือนที่ร้อนที่สุดของปี โดยในปีนี้นอกจากคลื่นความร้อนจะพุ่งทะยานไม่หยุดแล้ว ยังมาพร้อมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบตามๆ กันไปทั่วโลก งานนี้เลยขอพูดคุยกับสาว"ใบเฟิร์น - พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์" นางเอกสาวมากความสามารถที่แจ้งเกิดจากบทเด็กมัธยมวัยใสในภาพยนตร์ สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มระดับขีดความสามารถด้วยบทบาทท้าทายมากยิ่งขึ้น มาโพสท่าสุดแซ่บแข่งกับความร้อนแรงของอากาศ พร้อมสร้างพลังใจให้ในช่วงที่ต้องกักตัวอยู่กับบ้านแบบนี้ โดยสาวใบเฟิร์นได้เล่าให้ฟังถึงการดูแลสุขภาพตัวเองในช่วงนี้ว่า



“เวลาออกไปเจอคนก็ใส่แมสก์ค่ะ บางทีเฟิร์นทำงานก็ลำบากเหมือนกันค่ะ เพราะใส่ไม่ได้ ต้องแต่งหน้า ก็เลยจะใช้วิธีการขยันล้างมือเอา ซึ่งเมื่อก่อนเฟิร์นเป็นคนที่ขี้เกียจล้างมือมากเลย อย่างเวลาใส่คอนแทกเลนส์ก็จะชอบล้างแค่ปลายนิ้ว ซึ่งเป็นนิสัยที่ไม่ดีนะคะ ทุกวันนี้ก็เลยต้องเปลี่ยนนิสัยตัวเองหมดเลยค่ะ แล้วยิ่งตั้งแต่ช่วงที่มีโควิด-19 นี่ก็ไม่ได้ออกไปเจอใครเลย เพราะกองถ่ายต่างๆ ยกกองทั้งหมด เฟิร์นก็เลยจะอยู่บ้าน 100% ตอนแรกไม่กล้ากลับไปหาพ่อแม่ด้วย เคยมีวันหนึ่งเฟิร์นถึงขนาดโทรไปหาผู้จัดการร้องไห้บอกว่าอยากกลับไปกินข้าวกับพ่อแม่ คือปกติเฟิร์นจะชอบไปกินข้าวที่บ้านค่ะ แต่พอมีเรื่องนี้ก็เลยทำไม่ได้ เพราะเราก็กลัวท่านจะเป็นอะไร ร้องไห้จนผู้จัดการบอกว่าเป็นบ้าไปแล้ว”



 

“เฟิร์นไม่เคยได้หยุดอยู่กับตัวเองเฉยๆ เช็กตัวเองว่าเป็นอย่างไรบ้าง รอผลงานออก ปกติจะต้องเร่งไปหมดว่าเดี๋ยววันนี้ทำงานนี้ อีกวันต้องทำอันนี้แบบนี้ค่ะ พอทุกวันนี้ได้มีเวลาว่างก็เป็นชีวิตที่ดีไปอีกแบบหนึ่งนะคะ ซึ่งเฟิร์นก็จะใช้เวลานี้ดูซีรีส์ แล้วก็รีวิวสินค้าค่ะ (หัวเราะ) คือเฟิร์นชอบขายของ เราก็เอาของที่เราเป็นพรีเซนเตอร์อยู่ ใช้อยู่แล้ว กินอยู่แล้ว มาอัดคลิปทำรีวิวจนเพื่อนชอบแซวว่าเป็นเน็ตไอดอล ซึ่งก็สนุกดีเหมือนกันนะคะ” (ยิ้ม)
 


ถามถึงการถ่ายทำละครเรื่อง ‘สร้อยสะบันงา’“?

"บรรยากาศการถ่ายทำวันนั้นก็ร้อนระอุมาก คิวแรกที่เปิดไปก็ได้เจอกับน้องนายแล้วค่ะ เป็นฉากเถียงกันอย่างเดียว ซึ่งการกลับมาเจอกันกับนายครั้งนี้ก็ต่างไปจากเดิมมากเลย เพราะหนูกับนายต้องเล่นพีเรียด ช่วงสมัย ร.7 แล้วเราทั้งคู่ไม่เคยเล่นละครพีเรียดกันมาก่อนเลย ก็ค่อนข้างเกร็งค่ะกว่าจะพูดได้แต่ละประโยค เพราะเราจะติดพูดไม่เต็มเสียงแบบวัยรุ่นทั่วๆ ไปค่ะ ซึ่งก็จะโดนดุกันทั้งคู่เลย (หัวเราะ) แล้วก็ห้ามเล่นหน้าเล่นตาแบบในปัจจุบันด้วยค่ะ อีกเรื่องคือ สิเหน่หาสาหรี่ ซึ่งก็ยังไม่ถ่ายทำเลย เล่นกับพี่ฌอห์นทางช่องวัน คงอีกสักพักหนึ่ง แต่ก็อยากให้รอติดตามชมกันค่ะ”

 

และงานที่เรารับบทบาทนักพากย์เสียงครั้งแรกของเธอในภาพยนตร์เรื่องมู่หลานเป็นยังไงบ้าง?




“เฟิร์นคิดกับตัวเองว่าเราคงไม่มีโอกาส เรียกว่าอย่าฝันเลยดีกว่า เพราะคนที่ได้ร่วมงานกับดิสนีย์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักร้อง แล้วพอทางดิสนีย์ติดต่อมาก็ยังไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ แต่เขาก็บอกว่ายังไม่ได้นะ เฟิร์นต้องไปแคสเสียงเหมือนกับคนอื่นๆ แล้วเขาก็บอกว่าที่ติดต่อมาเพราะเขามีโอกาสได้ดูนิรา ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับมู่หลาน ตรงที่ต้องมีพาร์ทผู้ชาย แล้วโชคดีที่มู่หลานเวอร์ชั่นนี้ไม่ต้องร้องเพลง แต่ที่ทรมานกว่าการรอผลว่าจะได้หรือไม่ได้คือความกดดันหลังจากที่รู้ว่าได้แล้ว เพราะหนูก็โตมาในยุคของการ์ตูนมู่หลาน แล้วพี่ได๋ที่เคยรับหน้าที่นี้มาก่อนก็ทำดีมาก เลยยิ่งบอกกับตัวเองว่า ‘อุตส่าห์ได้พากย์เสียงการ์ตูนในดวงใจนะ อย่าทำหนังเขาพังนะ’ ตอนได้มาทำจริงๆ เนื่องจากว่าหนูเป็นคนใช้เสียงไม่เก่ง แล้วก็ไม่เคยทำมาก่อน แต่เคยพากย์เกม ลงเสียงเกมมาก็จะรู้แล้วว่ามันยาก ซึ่งเฟิร์นโชคดีตรงที่มี Acting Coach ที่เป็นเหมือนผู้กำกับ มาคอยยืนไกด์อยู่ทุกคำเลย

 ความยากของการพากย์เสียงคือ เขาไม่ได้พูดเป็นปกติเหมือนเวลาเราเล่นละครที่ใช้เสียงปกติ พอเป็นหนังพากย์ไทยเราจะพูดธรรมดา เรียลมากเท่าฝรั่งหรือเท่าแอ็กติ้งในหนัง มันไม่ดึงคนดู ก็เลยต้องใช้การแอดลิบเสียง ขึ้นเสียง ลงเสียง เน้นเสียงต่างๆ ซึ่งก็แปลกดีค่ะ ตัวเฟิร์นเองก็เคยดูหนังพากย์ไทยมาอยู่แล้ว เราก็จะพอรู้ ผสมกับอินเนอร์ของมู่หลานในคาแรกเตอร์ที่เราเข้าใจ หรือถ้าอันไหนที่เป็นซีนอารมณ์แล้วหนูทำไม่ได้ก็ยืนร้องไห้เลย ยืนร้องไห้จริงๆ ไปด้วยอยู่หลังไมค์แล้วก็พากย์ไปด้วยค่ะ”



เรียกว่าเราพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถทางการแสดงที่ได้รับการยอมรับ ผ่านการพลิกบทบาทที่หลากหลายด้วย?

“สำหรับเฟิร์น เฟิร์นแค่รู้ตัวเองว่าเราเป็นคนที่ชอบการแสดง แต่บางคนอาจจะบอกว่าเราเล่นดีขึ้น หรือมีพัฒนาการ ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่มาควบคู่ไปกับประสบการณ์ของคนๆ หนึ่งที่โตขึ้น จากเป็นเด็ก 16 - 17 เจอโลกมาเท่านี้ ก็เล่นออกมาได้แบบนี้ พอเริ่มโตขึ้น เริ่มกว้างขึ้น เริ่มเจอความผิดหวังเยอะขึ้น ก็ทำให้ตัวละครของเราลึกซึ้งขึ้นตามไปด้วย (ยิ้ม) คือเราแค่มีโอกาสได้แสดงในบทบาทใหม่ๆ ซึ่งโอกาสนั้นมันก็มาจากผู้ใหญ่ที่มั่นใจในตัวเรามากกว่าที่เรามั่นใจในตัวเองอีก มันก็เลยเป็นเหมือนความขอบคุณที่เราได้รับโอกาสดีๆ ก็เลยยิ่งต้องทำออกมาให้ดี”



 

‘นางเอก’ ในความคิดของเรา?

“เฟิร์นว่านางเอกก็คือคนปกติคนหนึ่งเลย เฟิร์นมีทั้งเล่นเป็นแบบแบ๊วใส แสนหวานก็มี หรือว่าดาร์กสุดๆ ก็มี เฟิร์นก็เลยรู้สึกว่านางเอกก็คือคนๆ หนึ่งที่ละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่งเลือกเอาชีวิตเขามาเล่า คนก็เลยเรียกว่าเป็นนางเอก เพราะบทนำอยู่ที่คนนี้ เล่าเรื่องชีวิตของคนๆ นี้ เฟิร์นมองว่าเขาก็คือคนๆ หนึ่ง ดังนั้นเขาจะเป็นอะไรก็ได้ เฟิร์นไม่เคยมองว่าตัวละครของเฟิร์นนิสัยไม่ดี หรือเลวร้ายเลยนะ เฟิร์นจะรู้สึกว่าก็เทาดีนะ โชคดีที่คนเขียนบทยุคนี้ก็เขียนทุกอย่างตามความเป็นจริงมากๆ แล้วเฟิร์นเองก็มีโอกาสถ่ายทอดชีวิตคนๆ นี้ เฟิร์นไม่ได้มองว่าเขาต้องแสนดี หรือไม่ดี เราแค่กำลังเล่าเรื่องเขาอยู่เท่านั้นเองค่ะ ซึ่งการพลิกคาแรกเตอร์รับบทบาทที่หลากหลายก็เป็นข้อดีที่ทำให้เราเกิดความไว้ใจในตัวเอง เพราะปกติแล้วหนูเป็นคนไม่มีความมั่นใจ จะมีความรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ แม้แต่วันที่ถ่ายก็จะรู้สึกอยู่ตลอดเวลา

แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว แค่เราปล่อยไปตามนั้น ปล่อยไปตามความเข้าใจของตัวละคร ในเมื่อเราเป็นตัวละครนั้นอยู่แล้ว ก็อย่าเอาตัวใบเฟิร์นมาตัดสินว่าดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด ดีไม่พอนั่นคือความคิดของเฟิร์น ไม่ใช่ความคิดของตัวละคร เพราะฉะนั้นเฟิร์นเป็นตัวละครไปแล้ว มันก็ควรจะต้องเป็นไปตามนั้น ดีไม่ดีก็ปล่อยให้เป็นไปแล้วกัน ถือว่าเราเป็นตัวละครอย่างดีที่สุดเท่าที่เราทำได้แล้ว”



เราประสบความสำเร็จในฐานะของการเป็นนักแสดง แต่ดูสวนทางกับเรื่องความรัก?



“แห้งเหี่ยวค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่เปิดใจนะคะ หนูว่าหนูโอเคมากๆ แล้วก็เป็นปกติสุดๆ คือเหมือนชีวิตหนูลงตัวทุกอย่าง ก็เลยไม่จำเป็นต้องไปขวนขวายหาอะไร มีงาน มีเพื่อน มีผู้จัดการ มีครอบครัว ทุกอย่างมันเต็ม เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้ามาเขาต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ค่อนข้างจะมีความสุขมากๆ อยู่แล้วของเฟิร์นให้ได้ เพราะเฟิร์นจะให้ความสำคัญกับคนในสังคมรอบตัวเฟิร์นมากๆ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้อง ผู้จัดการ เพื่อน ดังนั้นถ้าจะมีใครคนหนึ่งเข้ามา เขาต้องอยู่ในสังคมที่สำคัญทั้งหมดนี้ของเฟิร์นได้ค่ะ”

 

ขอบคุณภาพและบทความจาก : AROUND Magazine